การไปเมืองจีนครั้งที่สามของผม (1. จูไห่ 2. จิวจ้ายโกว) สิ่งที่ยังต้องทำใจกับเมืองจีน ครั้งนี้ ไม่ต่างจากครั้งที่แล้วๆ เท่าไหร่ คือ อาหาร และ ห้องส้วมแต่รอบนี้มีตัวช่วยสำหรับการเข้าห้องน้ำ “เครื่องชำระพกพา” หุหุ แต่ห้องน้ำในทริปนี้ไม่โหดร้ายเป็นห้องน้ำตามหลักสากลครับ555 หมดกังวลไปหนึ่ง สำหรับอาหาร ขอให้มีปลาก็น่าจะโอเคครับ อ่อ ลืมบอกไป ครั้งนี้นอกจากการเขียนรีวิวนี้แล้ว ยังมีคลิปวิดีโอสั้นๆ ของแต่ละสถานที่ให้เพื่อนๆได้ชม “ความสด” ของแต่ละที่ๆผมไปมาด้วย ครับ ผมออกเดินทางเวลาประมาณ 06.30 น. ด้วยสายการบิน CHINA SOUTHERN AIRLINE เครื่องบินใช้ได้เลยครับ มีอาหารทานบนเครื่องอร่อยครับ ถึงสนามบินฉางซา เราต้องนั่งรถต่อไปเมือง เฟิ่งหวง อีก 5ชม.กว่าจะถีงโรงแรมก็เล่นเอาค่ำเลยครับ
ไฮไลต์ในการเดินทางครั้งนี้ มี
เมืองเฟิ่งหวง
เขาอวตาร
สะพานแก้ว
สนใจ จองได้ครับ–> http://line.me/ti/p/%40unithaitrip มีให้เลือกหลายโปรแกรมหลายราคาครับ
….เป็นความโชคดีที่ได้เห็น “เมืองเฟิ่งหวง“ทั้งตอนสว่างและมืด ผมมาถึงช่วงค่ำแล้ว ไกด์พาไปทานข้าวและชมเมืองเฟิ่งหวง ยามเย็นย่ำ หมู่บ้านกลางหุบเขา บ้านเรือนโบราณทุกหลังได้เปิดไฟต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างคึกคัก มีแม่น้ำถัวเจียงใสสะอาดไหลผ่าน นอกจากความคลาสสิคของบ้านแล้ว เฟิ่งหวงยังมีบาร์เบียร์ และร้านค้า ร้านอาหารเล็กๆ สำหรับบริการนักท่องเที่ยวโคมไฟสีแดงของร้านค้าแย่งกันส่องสว่างช่วยให้เมืองเล็กๆแห่งนี้สวยงามตัดกับความมืดมิดของท้องฟ้า
บรรยากาศของเมืองเฟิ่งหวงก็คล้ายๆเชียงคานบ้านเรามีของกินเล่นของท้องถิ่นขาย มีร้านนั่งชิล ริมน้ำ ผู้คนก็นั่งเล่นเดินเล่นลัดเลาะริมแม่น้ำ และด้วยอากาศที่บริสุทธิ์ เย็นกำลังดีทำให้เดินกันเพลินเลยครับ ลืมเวลากันเลย
เดินเพลินๆไปเรื่อยเจอ…….ผะ ผะ ผะ ผี….. ที่เมืองนี้ก็มีตำนานของผีจีนด้วย
…. ยามพระอาทิตย์ขึ้น เมืองเฟิ่งหวง
ทำให้เห็นลักษณะตัวบ้านโบราณสองฝั่งและลำน้ำไหลผ่านชัดเจนกว่าเมื่อคืน การตกแต่งสถานที่เป็นแบบเรียบง่ายตามธรรมชาติ หากแต่มีสีสีนสดใสเพิ่มชีวิตชีวาให้เจ้าถิ่นและผู้มาเยือน อีกทั้งในหลายๆสถานที่ของเมืองยังมีประวัติที่น่าสนใจมากมาย
สะพานสายรุ้ง หรือสะพานหงเฉียว สะพานไม้โบราณที่มีหลังคาคลุมเหมือนสะพานข้ามคลองในเวนิส เป็นสะพานประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นมาหลายร้อยปี ก่อนที่จะเดินถึงสะพานนั้นท่านจะได้เห็นจุดเด่นของเฟิ่งหวง คือบ้านที่ยกพื้นสูงเรียงราย เป็นทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นที่นิยมชื่นชอบทั้งชาวจีนและชาวต่างประเทศ
ระหว่างทางก็จะประดับประดาไปด้วยของตกแต่งที่หาได้ง่ายๆ แต่งดงามและคงความเป็นเมืองโบราณของที่นี่ ของกินเล่นก็มากมาย
บ้านเกิดของกวีเสิ่นฉงเหวิน อดีตนักประพันธ์ นักประวัติศาสตร์และนักการศึกษาค้นคว้าโบราณคดี บ้านเกิดของเสิ่นฉงเหวินเป็นบ้านที่ปลูกล้อมรอบลานบ้าน ทั้ง 4ด้านก่อด้วยอิฐทนไฟที่มีสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นในภาคตะวันตกของมณฑลหูหนานและได้ตกทอดมาจากปู่ของเสิ่นฉงเหวิน อดีตผู้บังคับการทหารประจำมณฑลกุ้ยโจวในสมัยราชวงศ์ชิง ต่อมาจึงสร้างเป็นบ้านหลังดังกล่าว
มาถึงช่วงเวลาที่คิดว่า”น่าเบื่อที่สุด” นั่นคือช่วงดูโชว์นางพญาจิ้งจอกขาว ….แต่พอดูจริงแล้ว….รู้สึกประทับใจมากโดยเฉพาะฉาก แสง สี เสียงที่สมบูรณ์แบบมาก “โชว์นางพญาจิ้งจอกขาว” เป็นการแสดงบนเวทีกลางแจ้งกับฉากธรรมชาติที่อยู่ในหุบเขา….มีประตูสวรรค์เป็นฉากหลัง…เป็นการแสดงที่อลังการมาก…ผมเคยดูโชว์ต่างประเทศมาหลายโชว์แล้ว น่าเบื่อหมด อาจเป็นเพราะเราไม่เข้าใจภาษาและมุกของแต่ละประเทศ แต่โชว์นางพญาจิ้งจอกขาวนี้ไม่เหมือนกันเค้าสื่อความต่างๆด้วยฉาก ด้วยเสียงเพลง เนื้อเรื่องกระชับ ไม่ยืดเยื้อ ดูเข้าใจง่าย
โชว์จิ้งจอกขาวใช้นักแสดงกว่า 600 คน มีความสมจริงไปด้วยเทคนิค แสง สี เสียง กับการดำเนินเรื่องที่สนุก กระชับ ตื่นเต้น และมีจุดเด่นคือทีมนักร้อง chorus กว่า 84 คนมาร้องประสานเสียงสุดไพเราะกันแบบสดๆข้างเวที
เล่าเนื้อเรื่องย่อๆ เผื่อเพื่อนๆจะได้ดูเข้าใจขึ้น ผิดถูกไม่ว่ากันนะครับ
เรื่องราวความรักต่างสายพันธุ์ระหว่างคนตัดฟืน จิตใจดีและขยันขันแข็ง กับ นางจิ้งจอกขาวที่มีอิทธิฤทธิ์ นางจิ้งจอกขาวแปลงกายเป็นสาวงามมาเจอพระเอก ต่อมาเมื่อชาวบ้านจับได้ว่านางเอกที่แท้เป็นนางจิ้งจอกขาวแปลงกายมา ก็หมายจะมาทำร้ายและขับไล่นางเอกซึ่งพระเอกก็ลงทุนเอาร่างกายมาปกป้องไม่ให้ชาวบ้านมาทำร้ายนางเอก ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้นางจิ้งจอกขาวแอบปลื้ม “หลิวไห่” พระเอกของเราและเพื่อเป็นการตอบแทนที่พระเอกช่วยปกป้องให้ตนเองปลอดภัยจึงแอบลงมาช่วยทำอาหาร ซักผ้า ทำความสะอาดบ้านพระเอกให้เป็นการขอบคุณ
ต่อมาเมื่อชาวบ้านรู้ว่าทั้งสองรักกันจึงขัดขวางทุกวิถีทาง และคอยจ้องจะทำร้ายนางจิ้งจอกขาว ทำให้นางจิ้งจอกขาวกับหลิวไห่ต้องหลบหนีชาวบ้านที่ตามล่าและทั้งคู่ก็อุตส่าห์หลบหนีไปจนได้…แต่เรื่องราวยังไม่ได้จบอยู่ตรงนั้นเมื่อข่าวความรักของทั้งคู่หลุดไปเข้าถึงหูของพญาจิ้งจอกเข้าให้…
เมื่อพญาจิ้งจอกจับได้ว่าทั้งคู่แอบรักกันจึงลงโทษ โดยสาปให้ทั้งคู่ตัวแข็งเป็นหิน สามารถทำได้แค่มองตากันอยู่บนหน้าผาคนละฝั่ง แต่แล้วสวรรค์ก็เห็นใจในความรักของทั้งคู่ จึงสร้างปาฏิหาริย์ให้หน้าผาเลื่อนมาชิดกัน ทั้งสองจึงได้พบกันอีกครั้ง ขนลุกเลยครั้บตอนนี้ ทั้งฉากเทคนิค เสียงประกอบ คนsensitiveมีน้ำตาซึมครับ
ภูเขาเทียนเหมินซาน ตั้งอยู่มณฑลหูหนาน สมัยก่อนเรียกว่า ภูเขาหวินเมิ้งซานหรือซงเหลียวซาน เรานั่งกระเช้าที่ทันสมัยที่สุด ขึ้นสู่เขาเทียนเหมินซาน ซึ่งมีความยาวถึง 7.5 กิโลเมตร ใช้เวลา 40 นาที ทิวทัศน์ ระหว่างทางเหมือนอยู่บนสวรรค์เลย ข้างล้างเป็นหมอก ข้างบนก็เป็นหมอก สวยชุ่มชื่นจริงๆ
ชมความมหัศจรรย์หน้าผาลอยฟ้า ระเบียงแก้ว ซึ่งเป็นสะพานกระจก มีระยะทางเดินอันน่าหวาดผวาอยู่60 เมตร ล้อมรอบผาสูงชัน ความกว้างของสะพานกระจก วัดจากขอบผาได้ 3 ฟุต มีความหนา 2.5 นิ้ว ช่วงผมไปไม่ค่อยเสียว เพราะหมอกเยอะมาก
จากนั้นลงบันไดเลื่อนสู่ ถ้ำเทียนเหมินต้ง หรือเรียกว่า ถ้ำประตูสวรรค์เทียนเหมินซาน เป็น 1 ใน 4 ของภูเขาที่สวยที่สุด (สาเหตุที่เรียกว่าเทียนเหมินซานเพราะว่าภูเขาเกิดระเบิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจนกลายเป็นถ้ำ) ประตูสวรรค์นี้มีความสูง 131.5 เมตร ความกว้าง 57 เมตร ความลึก 60 เมตร เมื่อมาถึงถ้ำประตูสวรรค์จะได้ขั้นบันได 999 ขั้น สู่ ภูเขาประตูสวรรค์ ถ่ายรูปชมความงามซึ่งเคยมีชาวรัสเซียได้ขับเครื่องบินเล็กลอดผ่านช่องภูเขาประตูสวรรค์มาแล้ว ช่วงผมไปหมอกเยอะมากก็ได้รูปมาน้อย บันไดเลื่อนที่นี่สุดยอดมากครับ ยาวมาก ผมนึกถึงภูกระดึงบ้านเราเลยครับ ส่วนตัวผมนะ เราน่าจะอำนวยความสะดวกสถานที่ท่องเที่ยวของเราให้มากกว่านี้ อย่าไปกลัวว่าคนเยอะเเละจะทำลายธรรมชาติ ที่จีนเค้าไม่เห็นจะทำลายอะไรเลย มีแต่ยิ่งคนเยอะเค้ายิ่่งบำรุงรักษาอย่างดี มีการบริหารจัดการดีมากครับ
จากนั้นต้องลงมาข้างล่าง
“สะพานแก้ว” สะพานที่ยาวที่สุดในโลก สูงเหนือพื้น 980 ฟุต แถมยังยาวชนะสะพานแกรนด์แคนยอนของอเมริกาด้วย ชนะแบบทำลายสถิติโลกไปเลยยย
คงมีเมืองจีนที่เดียวแหละที่กล้าสร้างสะพานแบบนี้ แต่คุ้มจริงๆครับ ขนาดผมเป็นผู้ชายอกสามสี่ศอก เดินๆไปยังเสียววาบเลย 55 สูงงงจริงๆ และสวยมากด้วย
นักท่องเที่ยวส่วนมากก็จะหาจุด ถ่ายภาพ หาท่าเซลฟี่กันต่างๆนานา เพื่อนๆที่จะไปก็นึกๆเตรียมท่าเซลฟี่ไว้ด้วยก็ดีครับ ไปถึงจะได้ใส่เลย 555
อุทยานจางเจียเจี้ย เราต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปอีกครับระหว่างทางสวยมากครับ สลับกับเมฆหมอก ช่างสดชื่นจริงครับ
แต่พอขึ้นไปถึง”รู้สึกผิดหว้ง”นิดหน่อย เพราะหมอกลงหนามากมองไม่เห็นอะไรเลย
คณะเราจึงตัดสินใจลงไป ในส่วนของ….สวนนายพลเฮ่อหลง เป็นสวนสาธารณะที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่“นายพลเฮ่อหลง” ลูกน้องของท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง วิวอลังมากกกก ดูรูปแล้วกันครับ
เดินทางสู่ เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว (สะพานใต้หล้าอันดับ1) เป็นสะพานหินระหว่างช่องเขา ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีความสูงถึง 350 เมตร ก็รายล้อมด้วยหมู่ขุนเขา
เมื่อก่อนเป็นภูเขาลูกเดียวกัน แต่เกิดปรากฎการณ์ ทางธรรมชาติทำให้ถล่มลงไปด้านล่าง จึงเหลือเพียงจุดเชื่อมต่อ ระหว่าง 2 เขา ให้กลายเป็นสะพานแห่งนี้ บนสะพานจะมีลูกกุญแจอยู่เต็มไปหมด มีผ้าแดงผูกอยู่ด้วย เป็นความเชื่อของคนหนุ่มสาวชาวจีน ว่า “สะพานหิน อันยิ่งใหญ่ สามารถเชื่อมความรักนิรันดร์ ระหว่างกัน จึงเอากุญแจไปคล้องไว้ในจุด ที่สูงๆ จะได้ไม่มีใครสามารถ พรากให้จากกันได้
ภาพยนตร์ชื่อดัง อวตาร ได้นำมาเป็นฉากในการถ่ายทำ จนบางคนเรียกที่นี่ว่า “หุบเขาอวตาร” หลายคนคงจะเคยมาแล้ว และได้เห็นความงดงามของสถานที่แห่งนี้ ผมก้รู้สึกแบบเดียวกันครับ เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และโด่งดังอีกแห่งหนึ่งในเมืองจีน
จากนั้นเราก็ลงจากหุบเขาโดยลิฟท์แก้วไป่หลง ลิฟท์แก้วแห่งแรกของเอเชียที่สูง 326 เมตรซึ่งถูกบันทึกลง Guinness world Records ในด้านเป็นลิฟท์แก้วแบบ outdoor ที่สูงที่สุดในโลก (World’s tallest full-exposure outdoor elevator) และเร็วที่สุดในโลกด้วย
ลงจากลิฟท์แก้วมาแล้วยังไม่จบครับ เจอกับวิว แบบพาโน อีกกกกก
เกาะส้ม สวนสาธารณะกลางแม่น้ำใจกลางนครฉางซา นำท่านนั่งรถไฟฟ้าชมวิว ชมหินแกะสลักรูปหน้าของท่านประธานเหมาเจอตุงสมัยเมื่ออายุ 35 ปี (ผมกับท่านใครหล่อกว่ากันครับ 55)
ผมก็ขอจบรีวิวทริป อวตาร สะพานแก้ว ..ดินแดนบริสุทธิ์จางเจียเจี้ย เมืองเฟิ่งหวง ไว้เพียงเท่านี้ครับ ข้อมูลผิดตกหล่น ขออภัยนะครับ อยากเชิญชวนเพื่อนๆไปเที่ยวกันครับ ความสวย ธรรมชาติแท้ๆ ความอลังการ คุ้มสุดๆครับ