รีวิว….แอฟริกาใต้ .. หนังคนละม้วน ก่อนไปคิดอย่าง กลับมาอีกอย่างง….. (ep2/2)
ลิ้งดูโปรแกรมครับ…
http://www.unithaitravel.com/__files/t/oth/595-GOTJNB-SQ003.pdf
โปรแกรมที่ดูข้างบน ตามที่ผมรีวิวทั้งหมดเลยครับทั้ง สายการบิน โรงแรม อาหาร สถานที่เที่ยว
เช้าวันนี้เป็นอีกวันที่รอคอย เพราะจะออกเดินทางไปเมืองเคปทาวน์ สืบมาว่าอากาศจะอุ่นกว่าที่โจฮัน ที่นี่ไม่ไหวครับ 2-6 องศา ทุกวัน ลำพังเสื้อหนาวหนึ่งตัวกับเสื้อกั้ก เอาไม่อยู่ครับ เกือบตายยย เมืองเคปทาวน์ เมืองที่สวยติดอันดับ 1ใน 5ของโลก หนาวกำลังดี ลมพัดเย็นตลอด อากาศบริสุทธิ์มาก ทุกที่ที่ไปสวยจริงๆ ทั้งภูเขาโต๊ะ ขึ้นกระเช้าลอยฟ้า 360 องศา ให้อาหารนกกระจอกเทศ ดูความน่ารักของแมวน้ำ นกเพนกวิน และ cape point จุดบรรจบกันของน้ำทะเลจะมหาสมุทรแอตแลนติน และมหาสมุทรอินเดีย
“รูปทุกรูปที่ทุกท่านจะได้ดู ต่อไปนี้ แทนความสวยงาม และอารมณ์ความรู้สึกตอนที่ไปยืนอยู่ตรงจุดๆนั้นได้น้อยนิดมากก”
ไม่ใช่ว่าผมถ่ายไม่สวยนะครับ 55 ผมถ่ายสุดฝีมือแล้วจริงๆ…ขอออกตัวก่อนนะครับ ช่วงที่ถึงที่นี่บางสถานที่ท้องฟ้าปิดแดดไม่ค่อยมีเมฆเยอะแสงอาจไม่ค่อยสวยเท่าไร แต่ทุกที่ที่ไปมันสวยงามมากก ทุกอย่างยังคงความเป็นธรรมชาติสุดๆ เลยคิดว่าถ้าเพื่อนๆได้มาดูด้วยสายตาตัวเอง จะได้ดื่มด่ำเหมือนผม….แต่ตอนนี้ดูรูปและอ่านรีวิวของผมไปก่อนละกันนะครับ เผื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ?? สิ่งแรกที่จะทำในเคปทาวน์ คือ การสัมผัสสัตว์ปีกขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมือง
เราเดินทางด้วยสายการบิน British airways เป็นเครือเดียวกันกับSingapore Airlines อาหารบนเครื่องยังคงมาตรฐาน อร่อย เหมือนเดิม และแล้วเราก็เดินทางถึงเมืองเคปทาวน์…..จากนั้นก็เดินทางไปสัมผัสชีวิตสัตว์อันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของเมืองคือ นกกระจอกเทศ ณ ฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศ ที่มีชื่อเสียงของเมือง West Coast Ostrich Farm เรียนรู้เรื่องราวอันน่าสนใจยิ่งของนกกระจอกเทศ ที่มีจุดเด่นคือ เป็นสัตว์ปีกขนาดใหญ่แต่แทนที่จะใช้ปีกบิน กลับมีความชำนาญในการใช้ขาวิ่งได้อย่างรวดเร็วที่สุดในโลกเลยทีเดียว แถมปัจจุบันยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของประเทศอีกด้วย ทิวทัศน์เมืองนี้ เขียวไปหมด ดูสดชื่นจริงๆ สมกับเป็น “เมืองสวรรค์บนดินที่สวยที่สุดในโลก”
ถึงแล้วครับWest Coast Ostrich Farm
….มาถึงทานอาหารก่อนครับ ทริปนี้เรื่องกินเรื่องใหญ่ มื้อนี้เป็นสเต๊กเนื้อนกกระจอกเทศ กับเนื้อปลา และ omelet ยังเหมือนเดิมครับ เสริฟไวน์ตลอดดดด ที่เห็นหัวหน้าทัวร์ถืออยู่คือเนื้อนกกระจอกเทศสดๆ ………นกกระจอกเทศเป็นสัตว์ที่กินไม่เลือก กิ้งก่า พืช ตั๊กแตน แม้แต่หินยังกินเลยครับ เพราะหินจะช่วยในการย่อยอาหาร และจากการที่มันกินไม่เลือก ทำให้เจ้านกยักษ์นั้นโตเร็วกว่าสัตว์ชนิดอื่นโดยกินอาหารน้อยกว่าแถมยังแพร่พันธุ์ได้เยอะมากกว่าวัวอีก ในเวลา 30ปี สามารถออกลูกได้ถึง1,200ตัว …งั้นลองกินเลยละกัน …เนื้ออร่อยมาก….. แต่ความรู้สึกไม่เหมือนทานที่เมืองไทย .. ไม่รู้เพราะอะไร เดาเอาว่าน่าจะเป็นเพราะวิธีการปรุงแบบต้นตำรับ แต่มื้อนี้หมดตามระเบียบบบบบบ
….ทานเสร็จ ก็ขอดูหน้านางเอกตัวเป็นๆๆๆกันหน่อยครับ มีการให้ความรู้นิดหน่อยเกี่ยวกับนกยักษ์และลองให้อาหารด้วยมือ ทีแรกๆๆมีตกใจเล็กน้อย แต่ไม่เจ็บครับแค่นางกระแทกแรงไปหน่อย
นอกจากให้อาหารแล้วเรายังได้ขี่นกกระจอกเทศอีกกกกก 5555 หลังหักป่าวเน้อออ??
สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดประจำเมืองนี้ ด้วยจุดเด่นของเมืองเคปทาวน์ที่มี “ภูเขาลูกใหญ่”….ที่ตั้งอยู่กลางเมือง มีลักษณะเสมือน “โต๊ะ” ตั้งอยู่บนแผ่นดิน จึงทำให้ภูเขาลูกนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า”Table Mountain” เป็นภูเขาที่มีด้านบนสุดหรือยอดเขาราบเรียบแลดูเหมือนโต๊ะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเคปทาวน์ ในแอฟริกาใต้ มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร สูง 1,086 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของแอฟริกาใต้ และในปี ค.ศ. 2011 ภูเขาโต๊ะได้รับเลือกให้เป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก
จากนั้นก็ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าหมุนรอบตัวเองขึ้นสู่จุดชมวิวด้านบน ให้ชมบรรยากาศจากมุมสูง 360 องศา ผมกลับมาดูรูปที่ถ่ายมา แล้ว อยากบอกว่า ภาพไม่สามารถบอกถึงความสวยได้เท่ากับมาดูด้วยตาของตัวเอง ……จริงๆนะครับ
วิวขณะอยู่ในกระเช้าครับ
รูปนี้จะเห็น สนามกีฬาประจำเมืองเคปทาวน์(Cape town stadium) ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งฟุตบอลโลกปี 2010
ถึงแล้วครับ…เกินคำบรรยาย อากาศหนาวมากกกก ผมถ่ายรูปบางครั้งถ่ายแล้วถ่ายอีก เพราะสวยงาม แปลกตา ไปหมดเลย มุมเลยอาจจะซ้ำๆกันเยอะ เพราะมองไปทางไหนก็สวยหมดครับ
เกาะร็อบเบนซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเคป ทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้เพียงนั่งเรือ 45 นาที เนลสัน แมนเดลา ถูกจองจำในคุกแห่งนี้เป็นเวลา 18 ปี จากโทษจำคุกทั้งหมด 27 ปีในข้อหาต่อต้านนโยบายการแบ่งแยกสีผิว
ต้องขออภัยหากรูปเยอะไปหน่อยครับ เพียงแต่ผมอยากจะถ่ายทอดความสวยงามแบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยครับ….เมืองเคปทาวน์ยังเป็นเมืองเก่าแก่กว่า 300 ปี อีกทั้งสภาพอากาศที่ค่อนข้างบริสุทธิ์เกือบตลอดทั้งปี…ด้วยเป็นเมืองที่มีลักษณะคล้ายอ่าง มีลมพัดแรงจนพัดเอามลพิษต่างๆออกไปหมดเนื่องด้วยลักษณะภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศ มีแหลมกู๊ดโฮปที่ยื่นออกไประหว่างมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติค
เรามาถ่ายรูปและพักผ่อนบริเวณริมอ่าว ย่านวิคตอเรีย แอนด์ อัลเฟรด วอเตอร์ฟร้อนท์ (Victoria & Alfred Waterfront ) สถานที่พักผ่อนตากอากาศ ในบรรยากาศก่อนค่ำ อันงดงามทั้งร้านอาหาร ร้านค้า โรงภาพยนตร์ บริเวณท่าเรือนั้น อีกมุมมองที่ต่างและน่าสนใจของเมืองโรแมนติกนี้
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารจีน มื้อนี้อลังมาก ครับ มี เป๋าฮื้อน้ำแดง เป๋าฮื้อซาชิมิ ลอฟสเตอร์ผัดน้ำมันหอย ที่สำคัญเป๋าฮื้อที่นี้ตัวใหญ่ๆๆๆๆมากกกกก ชมรูปเลยครับ หิวแล้วววว
เข้าสู่ที่พัก โรงแรม Southern Cape Sun มาตรฐานเหมือนเดิน ครับ ท่านที่ซื้อทริปกับเราจะได้ บิน ที่พัก สถานที่เที่ยว อาหาร ตามที่รีวิวเลยครับ ข้อสำคัญ เสิร์ฟไวน์ตลอดครับ55 ย้ำตลอด คุ้มครับคุ้ม
ข้ามอาหารเช้าเลยนะครับ แน่นอนอยู่แล้วเรื่องอาหารที่ประเทศนี้……วันนี้เราจะเดินทางสู่ท่าเรือฮูทเบย์ (Hout Bay)เพื่อล่องเรือไปชมแมวน้ำที่บริเวณเกาะซีล (Seal Island) ตอนนี้เจ้าแมวน้ำกำลังพากันมานอนอาบแดดกันอย่างมีความสุขเต็มหาดเลยยซึ่งเป็นวิถีชีวิตน่ารักๆ ผมเคยดูแต่ในตู้กระจก นี่มันเป็นฝูงเลยอะระหว่างทางที่จะไปดูแมวน้ำ ผมเอาวิวมาฝาก …
ถึงแล้วครับเกาะซีล (Seal Island)
จากนั้นก็ไปชมสัตว์โลกน่ารักเฉพาะถิ่นที่น่ารักน่าเอ็นดูไม่แพ้กัน นั่นคือ นกเพนกวิน ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในบริเวณเมืองไซม่อนทาวน์(Simon Town) ที่มีบ้านเรือนของเหล่ามหาเศรษฐีที่ตั้งลดหลั่นกันอยู่บนเชิงเขา หันหน้าออกสู่ท้องทะเลสีคราม เหล่าบรรดานกเพนกวินสัญชาติแอฟริกันตัวน้อยพากันเดินต้วมเตี้ยมกันอยู่บนหาดโบลเดอร์(Boulders Beach)อันสงบเงียบนี้ ให้ท่านได้ถ่ายรูปและชมอิริยาบถ น่ารักมากมาก
แล้วเราก็มาทานอาหารริมทะเลอร่อย วิวสวยมากกกก
ทานเสร็จเราออกมาเดินเล่นริมชายหาด ย่านนี้เป็นย่านที่คนรวยๆอาศัยอยู่ เจอนกนางนวล ไม่รู้ฝูงเดียวกับที่บินมา บางปูบ้านเรารึเปล่าไม่รู้555
Cape of Good Hope หรือ “แหลมแห่งความหวัง” ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1488 เมื่อนักเดินทางชาวโปรตุเกส นามว่า Bartolomeu Dias ได้ล่องเรือเสี่ยงตายฝ่าคลื่นพายุมาขึ้นฝั่งที่แหลมแห่งนี้ได้ สำเร็จเป็นคนแรก เขาได้ตั้งชื่อให้กับแหลมที่มีภูมิอากาศแปรปรวนสุดขีดแห่งนี้ว่า Cape of Storm หรือ “แหลมแห่งพายุ” ซึ่งต่อมาได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ดูสดใสและมองโลกในแง่ดีมากขึ้น (อารมณ์ประมาณเปลี่ยนชื่อ แห้วเป็นสมหวัง)………ขอเล่าประวัติศาสตร์หน่อยครับ…..ปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1686) เหตุจากนโยบายผูกสัมพันธ์
ไฮไลต์การเที่ยวหลักๆ จะอยู่ที่แหลม Cape Point เป็นจุดแบ่งเขตมหาสมุทร นอกจากเป็นจุดชมวิว Cape of Good Hope ที่ดีที่สุด ทั้งความสูงที่มากกว่า แถมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างรถรางที่จะพาเราขึ้นไปสู่ยอดสุดของ Cape Point (ใครที่อยากเดินขึ้นเองก็ได้ครับ ใช้เวลาไม่นานมากก็ถึง)แต่ตอนเราไปเค้าปิดปรับปรุงรถรางแต่โชคดีมีบริการรถตู้ขึ้นไปครับ บนยอดของ Cape Point ยังมีประภาคารเก่าแก่ตั้งเด่นคอยท่าให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปถ่ายรูปและชมวิวทะเลรอบทิศทางบนยอดสุดของแหลมแห่งนี้
ระหว่างทางกลับออกมาเพื่อมุ่งสู่ไร่องุ่นได้เจอ กวาง Bles Box และลิงบาบลู กวางสวยมากครับ
แคมป์แมนส์ พีค ไดรฟ์ (Chapman’s Peak Drive) ถนนเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกในเมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ (Republic of South Africa) เป็นถนนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นถนนเลียบชายทะเลที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยถนนมีความยาวประมาณ 9 กิโลเมตร และมีจำนวน โค้งของถนนถึง 114 โค้ง ถนนเส้นนี้สวยมากแต่ต้องจ่ายค่าผ่านทางครับ แต่เราไม่ต้องเสียนะครับรวมอยู่ในค่าทริปแล้วครับ
แหล่งผลิตไวน์ขึ้นชื่อและเก่าแก่ที่สุดในแอฟริกาใต้ กรูทคอนสแตนเทีย (Groot Constantia) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1692 โดยผู้ว่าการเมืองชาวดัตซ์ จนกระทั่งปัจจุบันยังคงมีการทำไวน์ หรือเหล้าองุ่นอันขึ้นชื่ออยู่ และเปิดบริการให้คนทั่วไปเข้าชมภายในเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ไวน์ซึ่งจัดแสดงประวัติความเป็นมาของไวน์ย้อนหลังไปถึง 500ปี ช่วงที่ไปต้นองุ่นกำลังรอฤดูใหม่ จึงถูกตัดแต่กิ่งใบหมด มีแต่ลำต้นรอการแตกใบใหม่
ที่นี่เค้าจะมี ไวน์ให้เราลองเทส ดื่มกันหลายตัวเลย ครับ
นี่คือ ไวน์ที่เป็นที่โปรดปรานของ นโปเลียน กษัตริย์ฝรั่งเศส และ ผม 555
ปิดท้ายทริปนี้ด้วย Party jazz musicals ไฮโซ มากกกกก เป็น dinner ที่สมบูรณ์แบบมากครับ
ก็ขอจบการรีวิว ทริป “เคปทาวน์ เมืองที่สวยติดอันดับ 1ใน 5ของโลก” ครับ
การมาเที่ยวประเทศแอฟริกาใต้ ครั้งนี้ ของผม ถือว่าผิดคาดมาก จากความคิดแรกที่รู้สึกว่าประเทศนี้ต้องยากจน อากาศร้อน แดดจัด อาหารไม่อร่อย เจอคนป่าเดินตามสถานที่ต่างๆ ตอนนี้ผิดไปหมดเลย ทุกอย่างตรงข้ามกันอย่างกับหนังคนละม้วนที่เราได้รู้สึกไปเอง หรือแม้กระทั่งรับรู้จากสื่อ หรือปากต่อปาก ขนาดผมกลับมาคนที่รู้จักยังถามกันเลยว่า เป็นไงมั่ง ร้อนปะ เค้าให้กินอะไร นอนดีมั้ย จนผมต้องเปิดรูปให้ดู ว่าที่จริงแล้วประเทศนี้เป็นแบบนี้นะครับ ผมจึงอยากให้ทุกคนได้ไปเห็น ไปสัมผัสด้วยตาของตัวเอง 8 วัน 5 คืน ถึงแม้จะดูน้อยไป (สำหรับผม) แต่ก็คุ้มมากครับ กับการเรียนรู้วิถีชีวิต ประสบการณ์ใหม่ๆที่หาไม่ได้ง่ายๆ ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม รีวิวฉบับนี้นะครับและขอให้ติดตามกันต่อนะครับ ว่าผมจะไปบุกตะลุยที่ประเทศไหนต่อ
***และหากข้อมูลที่ผมรีวิวมีผิดตกหล่น หรือภาพอาจไม่ถูกใจ ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยครับ***
รูปสวยและเยอะดีค่ะ ชอบรีวิวนี้มากค่ะ ทีแรกก็คิดว่าน่าจะเป็นเมืองที่ไม่น่าไป พอมาดูรีวิวนี้ความคิดเปลี่ยนทันทีเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ