ครั้งหนึ่งในชีวิต การได้เห็นแสงเหนือ หรือออโรร่าด้วยตาตนเองนั่นถือเป็นเป้าหมายของใครหลาย ๆ คน โดยทริปนี้เราวางแผนเดินทางล่าแสงเหนือที่ประเทศนอร์เวย์ “ดินแดนแห่งแสงเหนือ” ซึ่งเป็นการเดินทางแบบกรุ๊ปส่วนตัว (Private Group) ที่บอกเลยว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว ส่วนจะคุ้มยังไงมาดูกันเลย
นอร์เวย์ (Norway) หรือ “ราชอาณาจักรนอร์เวย์” เป็นหนึ่งในประเทศเขตสแกนดิเนเวีย ที่ติดกับประเทศฟินแลนด์ สวีเดน รวมถึงรัสเซีย มีธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะหุบเขา ธารน้ำแข็ง และป่าไม้ โดยเฉพาะฟยอร์ดที่งดงามติดอันดับ 4 ของโลกเลยทีเดียว ไฮไลท์ของนอร์เวย์คือช่วงฤดูหนาว เพราะเป็นช่วงที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นฤดู “ล่าแสงเหนือ” นั่นเอง
แน่นอนว่า Unithai ไม่เคยพลาด อยากเก็บภาพบรรยากาศมากฝากทุกคน เลยเตรียมตัวกันล่วงหน้าประมาณ 2-3 เดือน เพื่อวางแผนเดินล่าแสงเหนือที่มานอร์เวย์ ซึ่งทริปนี้เราวางแผนเดินทางทั้งหมด 10 วัน 7 คืน โดยก่อนเดินทางต้องคำนึงถึงภูมิสภาพอากาศ และช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการล่าแสงเหนือกันก่อน เพราะการเห็นแสงเหนือไม่ใช่จะเห็นได้ทุกวันแม้อากาศจะดีก็ตาม บางทีก็ต้องอาศัยดวงด้วยเหมือนกัน: )
เริ่มวันแรก เราเดินทางจากสนามบินสุวรรรภูมิด้วยสายการบิน Oman Air ที่นั่ง Business Class เรื่องการบริการไม่ต้องพูดถึง ดีมากๆ ทั้งที่นั่ง และเมนูอาหารที่บริการบนเครื่อง
หลังจากนั้นเครื่องจะบินมาลงที่สนามบินมัสกัต ประเทศโอมาน เพื่อต่อไปยังกรุงแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน ระหว่างนั่นก็เข้าเลาจน์ สนามบิน First&Business ของสายการบิน Oman Air
ถึงแล้วแฟรงก์เฟิร์ต
วันที่ 2 : เราเลยเลือกพักที่แฟรงก์เฟิร์ตก่อน 1 คืน ที่โรงแรม Hilton Frankfurt Airport ถือว่าได้เที่ยวในเยอรมันเป็นเวลาสั้น ๆ และในเช้าวันที่ 3 ก็ขึ้นเครื่องของสายการบิน Lufthansa มาลงสนามบินทรอมโซ ประเทศนอร์เวย์ เป็นอันจบการเดินทางขามา
เมื่อถึงสนามบินผ่านด่านตรวจเสร็จแล้ว ก็เดินออกมายังจุดจอดรถที่เราได้เช่าไว้ บอกก่อนว่าตลอดทริปนี้ถ้าเราอยากขับรถเที่ยวเองอย่าลืมทำใบขับขี่สากลกันก่อนเดินทางด้วยนะ หลังจากออกจากสนามบินก็แวะเติมพลังกันที่ Bardus Bistro & Bar ร้านอาหารท้องถิ่นของนอร์เวย์ จากนนั้นจึงเดินทางเข้าไปที่พัก โดยที่พักคืนแรกในทรอมโซจะเป็นบ้านพักแบบ Airbnb ตัวบ้านหลังขนาดกลาง ภายในกว้างสบาย ทำอาหารได้ หลังจัดการตัวเองก็ได้เวลาออกไปเดินเที่ยวในเมือง และซื้อของมาเตรียมทำอาหารเช้า
วันที่ 4 : ถึงเวลาขับรถไปต่อที่เมืองเซนญ่า ทางทะวันออกเฉียงเหนือของนอร์เวย์ เซนญ่าถือเป็นเมืองที่ทำคัญด้านประมงของประเทศ เพราะมีลักษณะเป็นหมู่เกาะ นอกจากนี้วิวยังสวยสุดๆด้วยนะ เพราะเราจะเห็นภูเขาสลับซับซ้อนท่ามกลางผืนทะเลสีฟ้า ซึ่งที่นี่เองก็เป็นจุดชมแสงเหนือ หรือแสงออโรร่า จุดหมายของเราในคืนนี้ ต้องมาลุ้นกันว่าจะได้เจอมั้ย
คืนที่ 4 ในเมืองเซนย่า เราเลือกพักที่ “ออโรล่า บอเรียลลิส” (Aurora Borealis Observatory) บ้านพักที่เหมาะแก่การชมแสงเหนือมากที่สุด แนะนำว่าใครมีโอกาสมาต้องพักที่นี่สักคืน ด้วยการออกแบบของตัวบ้านเน้นกระจกขนาดใหญ่ เราสามารถชมแสงเหนือได้เต็มตาจากในบ้านกันเลยทีเดียว แถมมีอ่างจากุซซี่ส่วนตัวแบบ Outdoor ด้วยนะ
หลังมาถึงที่พัก ช่วงเย็นก่อนออกไปล่าแสงเหนือ เราก็แวะทานอาหารกันที่ร้าน Fjosn Restaurant ซึ่งเป็นร้านอาหารของคนที่ให้เราเช่าบ้าน หลังจากที่ทานเสร็จก็ถึงเวลาออกไปล่าแสงเหนือ ดยเราขับรถออกไปยังจุดต่างๆแต่แอบเฟลอยู่นิดหน่อยค่ะ เพราะไม่เจอแสงเหนือเลย ใจคือคิดว่าคืนนี้คงไม่ได้เห็นแล้ว ถอดใจขับรถกลับบ้านดีกว่า แต่…เมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่อยากเจอที่สุดก็ได้เจอ เพราะแสงเหนือก็ตรงบ้านพักของเราเลยค่ะ
บอกเลยว่าตื่นเต้นมาก เพราะเราเห็นชัดๆด้วยตาเปล่า แถมไปต้องเสียเวลาออกไปดูที่ไหนเลย แค่หน้าบ้านก็ว้าวมากแล้ว
วันที่ 5 : วันนี้อิสระเที่ยวเซนย่าทั้งวัน และเรายังพักที่ “ออโรล่า บอเรียลลิส” (Aurora Borealis Observatory) อยู่อีก 1 คืน ในช่วงเช้าเราก้ไปทานอาหารที่ร้าน Fjosn Restaurant ที่เดิม หลังจากนั้นก็ขับรถเล่น จะบอกว่าวิวระหว่างทางก็กินขาดมากแล้วนะ จุดสุดท้ายเราก็ได้แวะมาที่ Norwegian Wild ที่เป็นบ้านสำหรับดูแสงเหนืออีกที่
หลังจากกลับมาบ้านพักเราทำอาหารทานกันเองจนถึงช่วงเย็น และแล้วคืนที่ 2 แสงเหนือก็ปรากฎอีกครั้ง เท่ากับว่าเราได้เห็นแสงเหนือที่บ้านถึง 2 วันด้วยกัน ชัดๆแบบในภาพเลยค่ะ
วันที่ 6 : วันนี้ก็ได้เวลาขับรถกลับทรอมโซ เพื่อเปลี่ยนที่นอนมาพักบนเรือสำราญสุดหรู Havila Voyages เพื่อชมฟยอร์ดที่สวยงามของนอร์เวย์ โดยเรือลำนี้เป็นเรือนำเที่ยวที่มีชื่อเสียง เน้น Eco-Friendly คือประหยัดพลังงาน และปล่อยมลพิษน้อย ตอนเรือล่องคือเงียบมากไม่มีเสียงดังรบกวนเลยค่ะ ในส่วนการบริการก็อยู่ในระดับ 5 ดาว สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สบายมาก ซึ่งเราจะพักบนเรือเป็นเวลา 2 คืน เพื่อชมฟยอร์ดของนอร์เวย์ได้อย่างเต็มอิ่มจุกๆกันไปเลย และที่สำคัญเราก็ต้องลุ้นกันอีกว่า คืนนี้เราจะได้เห็นแสงเหนือบนเรือกันมั้ย
บรรยากาศภายในห้องก็จะเป็นแบบในรูปนะ โดยเราพักที่ชั้น 4 เจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายจุดต่างๆบนเรือก่อนให้เดินไปยังห้องพักบนเรือก็จะมีบริการอาหารให้ตักได้ตลอดทั้งวัน และร้านขายสินค้าบนเรือให้เลือกซื้อกันด้วยนะ
หลังดินเนอร์มื้อค่ำกันเสร็จ ถือเป็นอีกวันที่ดีที่สุด เพราะวันนี้เราก็ได้เห็นแสงเหนือก็ปรากฎอีกเช่นเคย นับตั้งแต่มานอร์เวย์ ทริปนี้เราเห็นแสงเหนือกันถึง 3 วันติด!! ต้องบอกตรงๆเลยว่าการมาเห็นแสงเหนือ หรือแสงออโรร่าด้วยตาเปล่านั้น ไม่เหมือนกับที่เห็นจากภาพถ่าย หรือคลิปที่เคยดูเลย เพราะว่าการมาเห็นด้วยตาตัวเองนั้นตื่นตาตื่นใจกว่าเยอะ ช่วงเวลาที่แสงสีเขียววิ่งอยู่บนท้องฟ้า เป็นอะไรที่วิเศษสุดๆแล้ว
แสงเหนือเห็นได้ชัดๆจากชั้นบนของเรือเลยค่ะ ไม่ใช่แค่กรุ๊ปเราที่ตื่ตเน้นเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวที่อยู่บนเรือทุกคนก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาล่าแสงเหนือเหมือนเรานี่แหละค่ะ ซึ่งบางคนมาล่าทุกปีก็เพิ่งจะเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรกด้วย
วันที่ 7 : เช้าวันนี้ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เราได้ซื้อแพกเกจบนเรือเพิ่ม เพราะเรือเค้าจะจอดยังจุดต่างๆให้เราลงไปเที่ยวได้ โดย Option ที่เราจ่ายเพิ่มคือการไปชม “พระอาทิตย์เที่ยงคืน” ที่นอร์ทเคป พอซื้อเสร็จลงเรือไปจะมีรถบัสบริการไปยังสถานที่นอร์ทเคป โดยรถบัสนี้จะรวมค่าไป-กลับเรียบร้อย
นอร์ทเคป (North Cape) ตั้งอยู่บนเกาะมาเกโรยา (Magerøya) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของนอร์เวย์ เป็นจุดที่สูงถึง 307 เมตรจากระดับน้ำทะเล และด้วยความที่อยู่ในจุดที่สูงขนาดนี้ ทำให้เราสามารถมองเห็นวิวท้องฟ้า ทะเลแบเร็นตส์ และพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ไกลแบบสุดลูกหูลูกตา ถือเป็นจุดที่เห็นแสงสว่างยามดึกได้ดีที่สุดช่วงฤดูร้อน
บริเวณลานกว้างภายนอกอาคาร ยังมีผลงานประติมากรรมลักษณะเป็นเหรียญหินแกะสลลักเป็นลายต่างๆ ของ 7 ชาติ ซึ่งหนึ่งในเหรียญนั้นมีผลงานของเด็กไทยด้วยนะ โดยลายที่แกะสลักจะบ่งบอกถึงการไม่แบ่งชนชั้น สีผิว หรือวรรณะ ซึ่งเด็กไทยเราออกแบบเป็นตัวไดโนเสาร์ อยู่บนเหรียญค่ะ
นอกจากจุดชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนแล้ว หากเป็นคนไทยคงแปลกใจไม่น้อย เพราะเราได้มาเห็นหินแกะสลัก “จปร” เมื่อสมัยกว่า 100 ปีก่อนด้วย แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มแรกๆที่มาบุกเบิกแหลมตรงนี้นอกจากพวกนักสำรวจโลกแล้ว ยังมีบุคคลชั้นสูงอย่างกษัตริย์ชาติต่างๆในยุโรปรวมถึงไทยมาเป็นคนแรกๆอีกด้วย ลองนึกดูว่าสมัย 100 กว่าปีที่แล้วการเดินทางมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
หลังกลับขึ้นเรือ เย็นนี้เราเลือกเป็นทานอาหารแบบ Fine Dining ตรงนี้ก็เป็น Option ที่เราเสียเพิ่มอีกเช่นกัน แต่มาทั้งที ทริปนี้ต้องจัดเต็ม และต้องบอกก่อนว่าตลอดทริปนี้เป็นการมาแบบ “กรุ๊ปส่วนตัว” เราสามารถเลือกทุกอย่างได้เอง ดีไซน์ทุกอย่างได้หมด ตามความต้องการของเราค่ะ ถ้าหากมาเป็นจอยทัวร์อาจจะมาทำอะไรแบบนี้ไม่ได้
Fine Dining คืออาหารคุณภาพดีอยู่ในระดับพรีเมียม ทั้งเครื่องดื่ม และวัตถุดิบที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี อาหารแต่ละจานมีมาตรฐานในเรื่องของรสชาติ และการตกแต่งจาน รวมไปถึงการบริการของร้านอาหารด้วย แนะนำว่าชีวิตนี้ควรได้มาลองทานกันดูนะมันฟินจริงๆ ค่าเสียหายอยู่ที่ คนละ 285 Euro ราคานี้เราจะได้ทานเมนูเช่น King Crab , Scallop , Pan- Fried , Lamb และอื่นๆรวมถึงของหวานด้วยค่ะ คืนนี้บนเรือไม่มีแสงเหนือมาทักทายเหมือนเมื่อคืน แต่เราก็โอเค เพราะถือว่าคุ้มแล้วที่เราได้เจอมาก่อนหน้านี้
วันที่ 8 : หลังจากเรือล่องมาถึง Kirkenes ก็ได้เวลาลงจากเรือ โดยเราก็ซื้อแพจเกจเพิ่มอีก เพราะอยากไปทำกิจกรรมจับปูยักษ์ ซึ่งก็จะมีเจ้าหน้าที่นำเรือลำเล็กมารับถึงที่ไปยังฝั่ง จากนั้นก็ต่อรถบัสไปยัง King Crab Safari พอไปถึงก็เปลี่ยนชุดและล่องเรือออกไปจับปูมานึ่งกินกัน จากประสบการณ์ที่ได้ลองกินปูยักษ์ที่เพิ่งจับมานึ่งสดๆ อยากบอกว่าเนื้อปูคือหวานฉ่ำมาก หรือบอกตรงๆเลยคือโคตรอร่อยแนะนำว่าถ้าใครวางแผนมาเพื่อทำกิจกรรมนี้ ให้เตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดจากบ้านเรามาด้วยนะ แซ่บ!!
หลังจากกินปูจนอิ่ม กิจกรรมก็ยังไม่หมดเท่านี้ เราไปต่อกันที่กิจกรรมนั่งสุนัขลากเลื่อน และไปดูโรงแรมน้ำแข็งกันต่อซึ่ง 2 สองที่นี้อยู่ที่เดียวกัน จากนั้นปิดท้ายวันนี้ด้วยร้านอาหารไทยที่ชื่อว่า “Bangkok Restaurant”
หลังทานอาหารเสร็จ ก็ถึงเวลาเดินทางกลับไทย โดยเรานั่งเครื่องจาก Kirkenes Airport ไปลง Oslo Airport จากนั้นบินต่อไปยังเมืองซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ด้วยสายการบิน Scandinavian Airlines
วันที่ 9 : มาถึงสวิส ระหว่างรอต่อเครื่องบินกลับไทย ไหนๆก็แวะมาแล้วเราเลยนั่งรถเที่ยวในเมืองและแวะทานอาหารเย็นที่ร้าน Konshi Asian Kitchen Sushi สักหน่อย ก่อนเดินทางมายังสนามบินตอน 4 ทุ่ม ด้วยสายการบินเดิมอย่าง Oman Air
วันที่ 10 : หลังต่อเครื่องที่ Doha International Airport และในที่สุดก็ถึงประเทศไทย เป็นอันจบทริป 10 วัน 7 คืนของเรา
สุดท้ายอยากจะบอกว่าทริปนี้เป็นอะไรที่พิเศษมากๆ เที่ยวคุ้มแต่ไม่บีบเวลา ซึ่งเป็นข้อดีของการจัดกรุ๊ปส่วนตัว โดยเราสามารถเลือกทุกอย่าง ทั้งสายการบิน ที่นั่ง คุณภาพของอาหารทุกมื้อตลอดทริปได้ด้วยตนเอง แถมกิจกรรมอยากจัดเต็มแค่ไหน ที่พัก Private ขนาดไหน Unithai Big Group จัดให้ได้หมด เรียกว่าประทับใจมากๆ ที่สำคัญการเดินทางล่าแสงเหนือครั้งนี้ก็ได้เจอแสงเหนือจริงๆ ดีเกินบรรยายเลยค่ะ
🔺ติดต่อแผนก Unithai Big Group รับจัดกรุ๊ปเหมา กรุ๊ปส่วนตัว กรุ๊ปบริษัท กรุ๊ปดีลเลอร์
▪️ Line กด -> CLICK
หรือแอดไลน์ @unithaibiggroup
☎️02-234-5936
☎️02-632-6882
กดได้ตั้งแต่ 201-210 (ทุกวัน จ.-ศ. เวลา 09.00-18.00 น. )
☎️091-154-9999 (กด 2) (ทุกวัน จ.-อา. เวลา 09.00.-20.00 น.)
**ขอความกรุณาติดต่อเฉพาะการจัดกรุ๊ปส่วนตัว กรุ๊ปเหมา เท่านั้น ไม่สามารถจองทัวร์หน้าร้านได้