ฮอกไกโด หน้าร้อนมีะไรมากกว่าที่คิด ใครบอกว่าฮอกไกโดต้องมาเฉพาะหน้าหนาว ไม่จริง !! ที่สุดเลยจ้า วันนี้จะมาบอกเล่าว่า SUMMER in HOKKAIDO นั้นมันมีอะไรให้เที่ยวกันบ้าง
ฮอกไกโด หน้าร้อนมีะไรมากกว่าที่คิด ใครบอกว่าฮอกไกโดต้องมาเฉพาะหน้าหนาว ไม่จริง !! ที่สุดเลยจ้า วันนี้จะมาบอกเล่าว่า SUMMER in HOKKAIDO นั้นมันมีอะไรให้เที่ยวกันบ้าง ช่วงหน้าร้อนของฮอกไกโดนั้นจะเริ่มราวๆเดือน มิถุนายน ไปจนถึง กันยายน ช่วงที่ร้อนสุดๆจะเป็นช่วงสิงหาคมนะ อากาศจะราวๆ 15-30 องศา ในช่วงหน้าร้อน
ว่ากันด้วยเรื่องที่เที่ยวช่วงหน้าร้อน แน่นอนหิมะไม่มี แต่ฮอกไกโดช่วงหน้าร้อนนั้นจะเต็มไปด้วย “สวนดอกไม้” มีมากมายหลายสวนให้มาแวะเที่ยวชมกัน รวมไปถึงผลผลิตทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อในหน้าร้อนคือ… เมล่อน !! บอกเลยว่าอร่อยม๊ากกกก
ในส่วนที่เที่ยวหลักๆที่เป็น Landmark ก็ยังคงมีเสน่ห์ในสถานที่นั้นๆอยู่ด้วย ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนก็ตาม ว่าแล้วไปดูกันดีกว่า มีอะไรให้เราได้ไปเยือนกันบ้าง….
- Tomita Farm
- Shikisai No Oka Farm
- Otaru Canal
- Shiroi Koibito Park (Chocolate Factory)
- Odori Park
- Sapporo TV Tower
- Tanukikoji Shopping Street
ลงเครื่องที่สนามบิน New Chitose เราก็เจอ โดเรม่อน ยืนต้อนรับเลยจ้า
>> จากสนามบิน เดินทางโดยรถบัสประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อเดินทางไปยังเมือง Furano เพื่อไปเยือน Tomita Farm
ที่นี่จะเป็นฟาร์มลาเวนเดอร์โดยหลัก ซึ่งช่วงที่ลาเวนเดอร์จะบานเต็มที่และม่วงสวยที่สุดจะเป็นช่วงเดือน กรกฎาคม ฟาร์มแห่งจะมีผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากลาเวนเดอร์ขายมากมาย สิ่งที่พลาดไม่ได้และต้องมาลองคือ ไอศครีมรสลาเวนเดอร์ หอม หวาน ใช้ได้ ข้างๆก็ยังมีฟาร์มเมล่อนเราก็สามารถชิมเมล่อน หวาน นุ่ม ว่าได้ว่า อร่อยสุดๆไปเลย ใครมาแล้วไม่ได้ชิมทั้ง 2 อย่างถือว่ามาไม่ถึงฮอกไกโดช่วงหน้าร้อนนะจ๊ะ
>> จาก Furano เดินทางประมาณ 40 นาที จะมีอีกหนึ่งฟาร์มที่เป็นไฮไลท์ คือ Shikisai No Oka Farm เมือง Biei จะเรียกที่นี่กันว่า เนิน 4 ฤดู เพราะเราสามารถมาที่นี้ได้ในทุกฤดูเลย ในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมด้วยหิมะเป็นลานกว้างขาวโพลน มีกิจกรรมมากมายทั้งขี่ Snowmobile หรือจะนั่งสุนัขลากเลื่อนก็มี
ในช่วงหน้าร้อนของที่นี่จะปลูกดอกไม้ไล่เป็นสีๆตัดกัน มองแล้วสวยงามแปลกตามากๆ ซึ่งเราสามารถนั่งรถชมได้ ราคาอยู่ที่ประมาณ 500 เยน
ในบริเวณฟาร์มจะเลี้ยงน้อง อัลปาก้า ไว้ด้วยจ้า เราสามารถซื้อบัตรเข้าไปชมและให้อาหารเพิ่มได้อีกด้วย กลิ่นจะเหม็นหน่อยๆ แต่ในเรื่องความสะอาดไม่ต้องห่วง มีการฆ่าเชื่อตั้งแต่เข้าไปเลยจ้า ราคาบัตรเข้าอยู่ที่ 500 เยน และอาหารเราสามารถหมุนตู้กาชาปองได้เลยในราคา 100 เยน
เราข้ามมาฝั่ง Landmark ของฮอกไกโดกันบ้าง สถานที่ยอดฮิดตลอดกาลที่นี่คือ คลองโอตารุ ไม่ว่าฤดูไหนๆก็เที่ยวได้ ใครมาฮอกไกโดก็ต้องมาถ่ายรูปที่คลองนี้ ไม่งั้นก็จะถือว่ามาไม่ถึงฮอกไกโดเลยนะจ๊ะ คลองโอตารุ ตั้งอยู่ที่เมืองโอตารุห่างจากเมืองซัปโปโรประมาณ 40 นาทีเดินทางได้ทั้งโดยรถบัส หรือรถไฟ
เดินถัดจากคลองมาไม่ไกลก็จะมีถนนคนเดินที่รายรอบไปด้วยร้านอาหาร ของฝากมากมาย เราสามารถมาหาอะไรทานได้สบายๆ ทั้งอาหารคาว sea food หรือจะเป็นของหวาน ชีสเค้กขึ้นชื่อของที่นี่ LeTAO อร่อยมากๆจ้าร้านนี้
>> เราเข้ามาในตัวเมืองซัปโปโร ยังมี Landmark อีกมากมาย แต่ด้วยเวลาเราค่อนข้างน้อย จึงได้ไปไม่กี่ที่ ที่แรกคือ โรงงานช็อกโกแลต Shiroi Koibito Park (Chocolate Factory) หลายๆคนถาม…ไปทำไม ??…แค่ไปถ่ายรูปก็คุ้มแล้ว ข้างนอกว่าสวยแล้วข้างในยังสวยอีกถ้ามาถ่ายรูปข้างนอกไม่เสียค่าเข้าจ้า ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่นี่ ถ้าเราอยากนั้งรถไฟชมรอบนอกโรงงานราคา คนละ 300 เยน ปู๊นๆๆ !! (เอาไว้หลอกเด็กๆ) แต่ถ้าจะเข้าชมภายในโรงงาน ราคาผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 600 เยนจ้า
>> ในเมือง ซัปโปโร อีกสถานที่ที่ดังและเป็นที่นิยมอย่างมากอีกที่คือ สวน Odori Park สถานที่นี้ในช่วงถดูใบไม้ผลิจะเต็มไปด้วยซากุระ และฤดูหนาวจะเป็นสถานที่จัดงาน Snow Festival อันโด่งดัง สวนนี้จะแบ่งเป็นบล็อกยาวไปตามถนน โดยบล็อกที่ 1 จะเป็นที่ตั้งของ Sapporo TV Tower เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ถ้าใครอยากขึ้นไปด้านบน ค่าขึ้นจะอยู่ที่ 720 เยน ได้บรรยากาศไปอีกแบบจ้า
>> สุดท้ายสำหรับนักช็อป <<
ย่าน Tanukikoji Shopping Street แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังของเมืองซัปโปโร แหล่งรวมสินค้ามากมาย ทั้งแบรนด์เนม ร้านขนมของฝาก ร้านขายยา Matsumoto ร้านรองเท้า ABC Mart ห้างDonki รวมถึงร้านอาหารทั้งซูชิ ราเมน sea food มากมาย มาที่นี่เดินกันขาลากแน่ๆ ขาช็อปห้ามพลาดเด็ดขาด !!!
อยากไปเที่ยวแบบนี้ ทัวร์แนะนำเราก็มีนะ
XJ110 : Hokkaido Lavender ซุปตาร์ ทุ่ง 7 สี ที่นี่เพื่อคุณ BY XJ
5 วัน 3 คืน
ส.ค – ก.ย 2019
เริ่ม ฿19,888