รู้หรือไม่…แหล่งกำเนิดอารยกรรมกว่า 3,000 ปี เกิดขึ้นที่มณฑลเหอหนาน ที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางของจีน ถือเป็นดินแดนเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ และเต็มไปด้วยศิลปวัฒธรรมที่มีคุณค่า ว่าแต่มณฑลเหอหนานมีอะไรน่าสนใจบ้าง เราจะพาทุกคนเดินทางไปเที่ยวด้วยกันกับ 3 เมืองใหญ่อย่าง เจิ้งโจว ลั่วหยาง และฮูโต๋ ตลอด 4วัน 3คืนกัน
เที่ยวจีนไปง่าย ไม่ยุ่งยาก โดยทริปนี้เรามีโอกาสเดินทางเป็นกรุ๊ปพิเศษ ซึ่งเป็นไฟล์ทปฐมฤกษ์จากสายการบิน Nok Air ที่เปิดบินครั้งแรกหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราคือคนไทยกรุ๊ปแรกและกรุ๊ปเดียวในไฟล์ทนี้ โดยบินจากสนามบินดอนเมือง ลงสนามบินเจิ้งโจวใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 – 4 ชม. เท่านั้น บอกก่อนว่าทริปนี้เป็นทัวร์ไม่ลงร้าน ทำให้ 4วัน 3คืนนี้เราได้เที่ยวกันแน่น ๆ ไปเลย
DAY 1
เมื่อนั่งเครื่องมาลงสนามบินเจิ้งโจว อันดับแรกต้องลงทะเบียน Health Declaraion Machine ผ่านเว็บกันก่อน โดยขั้นตอนนี้จะต้องกรอกเลขที่นั่ง และข้อมูลอย่างเช่น เมืองที่ไป วันเดินทางไป-กลับของเรา จากนั้นให้ใช้พาสปอร์ตสแกนเข้าเครื่องหน้าตาแบบในรูป เพื่อออกใบ QR Code ใบเล็ก ๆ และให้นำ QR Code สแกนผ่านด่านแรกเพื่อไปยังด่าน ตม. ต้องบอกก่อนว่าแต่ละเมืองขั้นตอนจะไม่เหมือนกันนะทุกคน บางเมืองอาจไม่ต้องลงทะเบียนที่ตู้เมื่อมาถึงแบบี้ก็ได้
หากใครมาเที่ยวเองก็อย่าลืมศึกษาขั้นตอนกันให้ดี ๆ แต่มากับทัวร์สบายมาก เค้าทำให้หมดทุกอย่างเลยค่ะ
เมื่อผ่านทุกด่านมาแล้วก็มารอรับกระเป๋า จากนั้นเดินไปขึ้นรถบัสออกจากสนามบินตรงดิ่งไปยังโรงแรมเลยในคืนแรก ลืมบอกว่าทริปนี้เราพักโรงแรม 4 ดาวตลอดทริปนะ แถมยังกินดีอยู่ดีทุกมื้อด้วย ส่วนข้อดีของการมาแล้วได้นอนเลยคือไม่เหนื่อย ให้เราเก็บแรงวันแรกไปลุยวันที่สองกันยาว ๆ จะดีกว่า
โรงแรมคืนที่ 1 : INNSIDE BY MELIA ZHENGZHOU HOTEL
DAY 2
วันที่สองเป็นวันที่ตารางเที่ยวแน่นสุดเริ่มที่ “พิพิธภัณฑ์เหอหนาน” ที่สร้างขึ้นในปี 1927 ไฮไลท์ของที่นี่คือชุดหยกจักรพรรดิ ของเจ้าชายหลิวเสิ้งแห่งแคว้นจงซันในสมัยราชวงค์ฮั่น ที่ใช้แผ่นหยก 2,498 แผ่นและลวดทอง 1,100 กรัม สร้างเป็นชุดนี้ขึ้นมา นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์เหอหนานยังมีของจัดแสดงเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องชาม หรือโบราณวัตถุมากกว่า 14 ล้านชิ้น ใครที่ชอบประวัติศาสตร์จีนถ้าจะเดินให้ครบต้องมีเวลาทั้งวัน เพราะมีหลายฮอลล์ ใครไปเองอาจเดินหลงได้ง่าย ๆ เลย
ออกจากเจิ้งโจวมาที่ “วัดเส้าหลิน” เมืองลั่วอยาง วัดเก่าแก่ชื่อดังที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี ต้นกำเนิดศิลปะป้องกันตัวของจีนอย่างกังฟู มาถึงก็แวะดูโชว์จากน้อง ๆ กันก่อน อยากบอกว่าโชว์สนุกมาก ตื่นตาสุด ๆ แนะนำว่าใครมาแล้วห้ามพลาดโชว์เด็ดขาด หลังจบการแสดงใครอยากถ่ายรูปกับเด็ก ๆ เค้าก็มีจุดให้ถ่ายพร้อมบอกจัดท่าให้เรียบร้อย ค่าเสียหายอยู่ที่ 100-200 บาท
หลังดูโชว์เสร็จก็นั่งรถกอล์ฟมาต่อกันที่วัดเส้าหลินดั้งเดิม ซึ่งภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ และบางต้นยังมีร่องรอยของการฝึกวิชากังฟูให้เห็นด้วย โดยวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน มีความสำคัญในฐานะเป็นพระอารามหลวง เมื่อเดินเข้าไปแล้วก็อย่าลืมแวะไปไหว้ปรมาจารย์ตั๊กม้อ พระผู้เผยแพร่พุทธศาสนานิกายเซนในประเทศจีนและเป็นผู้ที่ทำให้เกิดศิลปะกังฟูมาจนถึงปัจจุบันนี้
ปิดท้ายวันที่สอง ด้วยถนนคนเดิน “เมืองโบราณลั่วอี้” ซึ่งเป็นชื่อเมืองเก่าของเมืองลั่วหยาง หนึ่งในเมืองเก่าแก่ของ 13 ราชวงศ์ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒธรรมที่ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเดินเข้ามาที่เมืองโบราณลั่วอี้ แนะนำให้แต่งชุดโบราณฮั่นฝูจะเข้ากับบรรยากาศที่นี่มาก เพราะวัยรุ่นจีนส่วนใหญ่นิยมแต่งตัวมาถ่ายรูปกัน เดินเข้าไปเหมือนหลุดไปอีกโลก ค่าเช่าคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 600 บาท ราคานี้รวมแต่งหน้าทำผมพร้อม จะสังเกตุได้ว่าคนจีนเค้าจริงจังในการถ่ายรูปกันมาก ๆ เพราะทุกคนที่มาจะมีตากล้องส่วนตัว ส่วนไฟก็จัดแบบมืออาชีพเลยค่ะ
โรงแรมคืนที่ 2 : WU DUO LI CHENG HOTEL
DAY 3
วันที่สามเที่ยวแน่นอีกเหมือนกัน เริ่มที่แรกคือ “ถ้ำผาหลงเหมิน” หนึ่งในไฮไลท์ของทริปนี้ เพราะเป็น Unseen ของเมืองลั่วหยางเค้าเลย ถ้ำผาจะมีลักษณะเป็นผาหินแกะสลักรูปต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ เทพเทวดาต่าง ๆ โดยจิตรกรรมเหล่านี้สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.1038 สมัยกษัตรย์บูเชคเทียน จักรพรรดินีหญิงคนแรกของจีน ซึ่งจุดแกะสลักหินที่ใหญ่ที่สุดนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเป็นการแกะสลักลอกเลียนแบบพระพักตร์ของพระนาง เพราะมีความเชื่อว่าพระนางคือพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด ปัจจุบันถ้ำผาหินหลงถูกยกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 2000 จากองค์กรยูเนสโก้เป็นที่เรียบร้อย
ก่อนเข้าถ้ำผาหินจะต้องซื้อตั๋วก่อนนะ ในโปรแกรมนี้ราคาคือรวมตั๋วเรียบร้อยแล้ว วันที่ไปอากาศเย็นสบายไม่ร้อน แต่คนค่อนข้างเยอะ 98% ของคนที่นี่คือคนจีน ไม่มีคนไทยเลยนอกจากกรุ๊ปเรา
นั่งรถประมาณ 2 ชม. มาต่อกันที่เมืองฮูโต๋ เมืองเล็ก ๆ ติดกับเจิ้งโจว เรียกว่าเป็นเมืองที่คนไทยแทบไม่เคยได้ยินมาก่อน นอกจากคนที่เคยอ่านวรรณกรรมสามก๊กอาจจะคุ้น เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่โจโฉย้ายมาตั้งฐานทัพนั่นเอง ปัจจุบันคนจะเรียกเมืองฮูโต๋อีกชื่อว่าเมืองสวี่ชาง มาแล้วก็เริ่มที่แรกกันคือ “ตำหนักโจโฉ”
ตำหนักโจโฉ เป็นที่อยู่และสถานทำงานของโจโฉหลังจากย้ายฐานทัพ แต่ภายหลังกลายเป็นที่อยู่ประจำของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ภายในจะมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และรายชื่อบุคคลสำคัญ รวมถึงการจำลองฉากต่าง ๆ ในเรื่องสามก๊กด้วย นอกจากนี้ยังมีอุโมงค์ใต้ดินไว้เก็บอุปกรณ์สู้รบ และเสบียงอาหารที่เคยใช้งานจริง ๆ ในอดีตให้เดินชมด้วย หลังทัวร์ตำหนักโจโฉเสร็จ เราก็นั่งรถไป “หอชุนชิว” กันต่อ ซึ่งเป็นที่อยู่ของกวนอูที่อยู่ไม่ไกลกันมาก
ภายในจะหอชุนชิว จะมีรูปปั้นทองขนาดยักษ์ของกวนอูที่คาดว่าใหญ่ที่สุดในโลกให้เรากราบไหว้กันด้วย นอกจากนี้ยังมีเรือนจำลองของฮูหยิน และหออื่น ๆ ให้เดินดู แต่วันที่ไปฝนตกหนัก ทำให้เดินมาถึงเฉพาะองค์กวนอูอย่างเดียว จะบอกว่าของจริงเทียบกับขนาดตัวแล้ว คาดว่าสูงประมาณตึก 2-3 ชั้นได้
ตกเย็นก็เป็นเวลาช้อปปิ้งจ้า และเราก็เป็นกรุ๊ปคนไทยกรุ๊ปแรกอีกเหมือนกันที่ได้มาห้างดังของมณฑลเหอหนานอย่าง “ห้างพ้างตงหลาย” อยากจะบอกว่าสินค้าที่นี่ราคาถูกมาก สินค้าเยอะจนเลือกไม่ถูก แต่ประทับใจมาก ๆ คือการบริการของพนักงานที่ยืนประจำทุกจุดแต่เดินแล้วไม่รู้สึกอึดอัดเลยค่ะ เพราะเค้ามีระบบจัดการดีมาก ถือเป็นห้างของคนจีนที่เราว่าน่าสนใจที่สุดในช่วงเวลานี้เลยนะ ใครมีโอกาสต้องลองไปเดินดู หมดค่าเสียหายไปเยอะเลย: )
ปิดท้ายวันที่สามด้วยถนนคนเดินประจำเมืองฮูโต๋นั่นคือ “เมืองโบราณเฉาเว่ย” เป็นถนนคนเดินอีกที่ที่มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่คนจะนิยมมาเดินในช่วงเย็นเป็นต้นไป เพราะไฟยามค่ำคืนคือดี เข้ามาเหมือนได้ย้อนยุคเลยค่ะ
โรงแรมคืนที่ 3 : REBECCA HOTEL
DAY 4
วันสุดท้ายกันแล้ว จากเมืองฮูโต๋เราใช้เวลา 2 ชม. กลับมาเที่ยวที่เมืองเจิ้งโจวกันต่อ แม้จะเป็นวันสุดท้ายแต่ตารางเที่ยวยังแน่นเหมือนเดิม เริ่มต้นที่บริษัทแม่ของร้านแฟรนไชส์ชื่อดังและฮิตที่สุดทั้งในจีนและไทยตอนนี้อย่าง “MIXUE” หรืออ่านเต็ม ๆ ว่า มี่เสวี่ยปิงเฉิง แบรนด์ชาสัญชาติจีนแท้ ๆ
ภายในตัวบริษัทค่อนข้างไพรเวท เราเลยได้มาเดินเฉพาะโซนประวัติด้านนอกเท่านั้น หลังจากได้รู้ความเป็นมาแล้ว ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือพนักงานที่นี่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 31 ปีเท่านั้นเอง ทำให้บริษัทเติบโตค่อนข้างไว เพราะเค้าบริหารแบบคนรุ่นใหม่
ปิดท้ายก่อนเดินทางกลับไทยที่ “โรงละคร Only Henan” โรงละครขนาดใหญ่ ที่ถูกออกแบบคล้ายตารางหมากรุก แนะนำว่าก่อนมาที่นี่ให้แต่งตัวสวย ๆ มาด้วยนะ เพราะภายในมีมุมถ่ายรูปเพียบ แต่ละฉากถูกออกแบบมาสวยมาก และทุกฉากแบ่งโซนอย่างเป็นระเบียบ
ไฮไลท์คือโชว์ 8D ที่ลงทุนสร้างมหาศาล ไกด์บอกว่าถ้าเราจะดูโชว์ทั้งหมดให้ครบต้องใช้เวลาถึง 3 วันเลยทีเดียว เพราะสถานที่กว้างและมีหลายสตูเหลือเกิน ถึงแม้ตอนดูโชว์เราจะฟังภาษาจีนไม่ออกหรือไม่รู้ประวัติศาสตร์จีนเลยก็ดูเพลินค่ะ เพราะแค่ได้มาดูแสงสีเสียงก็คุ้มแล้ว อลังสมการลงทุนจริงๆ เทคนิคของจีนต้องยอมรับว่าเค้าพัฒนาจนล้ำหน้าไปไกลมาก หลังดูโชว์เสร็จก็ได้เวลากลับไทยเป็นอันจบทริปนี้
สุดท้ายใครที่อยากมาสัมผัส 3 เมืองของมณฑลเหอหนานอย่าง เจิ้งโจว ลั่วหยาง และฮูโต๋ แนะนำว่ามากับทัวร์สะดวกสบายที่สุดค่ะ ทั้งการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากไกด์ท้องถิ่น ที่วัยรุ่นมาแล้วก็สนุกได้ไม่น่าเบื่อ
หากใครสนใจอยากเที่ยวจีน หรือต้องการทำวีซ่าจีน แต่ไม่สะดวกไปเอง เราจัดการทุกอย่างให้ท่านได้ พร้อมโปรแกรมแกรมทัวร์จีนดี ๆ อีกเพียบ สนใจสอบถามเข้ามาได้เลย
กดดูโปรแกรมทัวร์เจิ้งโจว-> CLICK
สนใจ / สอบถามทัวร์อื่น ๆ ได้ที่..
▪️ Line กด -> CLICK
▪️ inbox ก็ได้เช่นกัน -> m.me/unithaitrip
☎️ 02-234-5936 กด 1
☎️ 02-632-6882 กด 1
☎️ 091-154-9999 กด 1
🔺ติดต่อแผนกรับจัดกรุ๊ปเหมา กรุ๊ปส่วนตัว กรุ๊ปบริษัท
▪️ Line กด -> CLICK
หรือแอดไลน์ @unithaibiggroup
☎️02-234-5936
☎️02-632-6882
กดได้ตั้งแต่ 201-208
**ขอความกรุณาติดต่อเฉพาะการจัดกรุ๊ปส่วนตัว กรุ๊ปเหมา เท่านั้น ไม่สามารถจองทัวร์หน้าร้านได้