เที่ยวตุรเคีย ทัวร์ 3 ลานสกี แบบกรุ๊ปส่วนตัว (Private Group) บอกเลยว่าเดินทางครั้งนี้ใจฟูที่สุด นอกจากเที่ยวลานสกีแบบเต็มๆ แล้ว ยังได้เปิดประสบการณ์การขึ้นบอลลูนครั้งแรกด้วย โดยตุรเคียถือเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีวิวบอลลูนสวยที่สุดในโลกเชียวนะ ว่าแต่จะสวยคุ้มขนาดไหน…มาดูกัน
ตุรเคีย ดินแดน 2 ทวีป ที่มีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป โดยในอดีตนั้นเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณ ทำให้ปัจจุบันเรายังคงเห็นสถาปัตยกรรม และสิ่งก่อสร้างอันทรงคุณค่าอยู่มากมายในประเทศนี้ และด้วยทริปนี้เราต้องการสำรวจเส้นทางและดูสถานที่ใหม่ ๆ จึงจัดกรุ๊ปส่วนตัวนี้ขึ้น โดยเราจะอยู่ตุรเคียเป็นเวลา 9 วัน 6 คืน
เริ่มที่วันแรก เราเลือกบินตรงที่นั่ง Business Class โดยสายการบิน Thai Airways ในไฟล์ดึก บริการพร้อมอาหารตามปกติ อิ่มแล้วก็ขอพักผ่อนนอนเอาแรงกันก่อน เพราะจากไทยไปถึงคุรเคียใช้เวลาอยู่บนเครื่องยาว ๆ ประมาณ 10 ชม. ทำให้ถึงอิสตันบูลในช่วงเช้าพอดี
เข้าวันที่ 2 เมื่อถึงสนามบินแล้วก็เดินไปขึ้นรถที่จองไว้ โดยวันแรกหลังจากถึงตุรเคีย เราเลือกใช้รถ 6 ที่นั่งแบบนี้ เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็ตรงดิ่งไปที่เมืองบูร์ซาทันที
เมืองบูร์ซา(Bursa)
จากสนามบินอิสตันบูล เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงเมืองบูร์ซาเป็นที่เรียบร้อย มาถึงแล้วก็เดินเล่นหาร้านอาหารทานเป็นมื้อแรกกันสักหน่อย ที่นี่คนข้างพลุกพล่าน เพราะเป็นย่านการค้า
หลังทานข้าวเสร็จก็เดินเล่นไปที่ตลาดผ้าในย่านบูร์ซา จะบอกว่าย่านนี้ขายพวกผ้าทอ ผ้าพันคอเยอะมาก เราก็เดินเล่นกันเพลินๆเลยค่ะ อยากจะบอกช่วงที่ไปค่าเงินลีร่า (ค่าเงินตุรเคีย) ค่อนข้างต่ำเทียบกับบาทไทยเรียกว่า 1: 1 เลยก็ได้ ทำให้ช่วงที่ไปค่าครองชีพที่นี่พอๆกับไทยเลยค่ะ และบางอย่างถูกกว่าที่ไทยอีกโดยเฉพาะพวกเสื้อโค้ท รองเท้าบูท เครื่องหนัง ถูกมากๆ
หลังเดินเล่นย่านบูรซ่าเสร็จ ก็ได้เวลาไปต่อที่ลานสกีอูลูดัก จากย่านบูร์ซ่าไปยังจุดขึ้นลานสกีไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว แต่การไปลานสกีสามารถไปได้ 2 ทางคือ ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าหรือจะนั่งรถขึ้นไปก็ได้ แน่นอนว่าเราเลือกนั่งกระเช้าเพราะเราจะได้ดูวิวแแบบ 360 องศาไปด้วย ที่สำคัญคือประหยัดเวลาหากเลือกนั่งกระเช้าจะใช้เวลาน้อยกว่า
เราเลือกซื้อตั๋วจากช่อง Fast Track ได้ตั๋วแล้วก็เดินเข้าไปขึ้นกระเช้าได้เลย
บรรยากาศข้างบนต่างจากข้างล่างมาก เนื่องจากข้างบนคุณจะเจอหิมะแบบที่เห็นบอกเลยว่าหนาวจับใจ ส่วนข้างล่างอากาศเย็นปกติแบบพอทนได้ เราใช้เวลาอยู่ที่ลานสกีสักพัก พอช่วงเย็นก็รีบขึ้นรถตรงเข้าโรงแรมกันค่ะ
โรงแรมแรกในตุรเคีย เราเลือกพักที่ Bof Hotel อยู่ในอูลูดักเลยค่ะ ตัวโรงแรมจะเป็นสกีรีสอร์ทค่อนข้างใหม่เหมือนเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ภายในโรงแรมโซนล็อบบี้ชั้น 2 เราสามารถเดินออกไปยังลานสกีได้เลย ส่วนภายในนอกจากจะเป็นบาร์อาหารแล้ว ยังมีจุดให้เช่าอุปกรณ์เล่นสกีไว้บริการด้วย รวมถึงภายในยังมี Wellness แยกเป็นโซนๆไว้บริการแบบครบครันเลย สำหรับโรงแรมนี้
นอกจากนี้ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือโซนทานอาหารของโรงแรม คือมันดีมากๆ มีให้เลือกหลากหลายสุดๆ ไฮไลท์คือโซนเบเกอร์รี่ที่เรียกได้ว่าจัดเต็มยิ่งกว่าเต็ม เพราะมีให้เลือกเยอะแถมหน้าตาหน้าทานมากๆ
เมืองโบลู(Bolu)
วันที่ 3 หลังจากเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแล้ว ก็ไปต่อกันที่ “ลานสกี Kartalkaya” ในเมืองโบลู ซึ่งตั้งทางฝั่งตะวันตกของ Black Sea ห่างจากเมืองอิสตันบูลประมาณ 260 กม. ข้อดีของลานสกีแห่งนี้จะเงียบสงบมากกว่า แม้จะไม่ใหญ่มากแต่ระยะทางความยาวของ Slope ก็อยู่ที่ 20 กม. เรียกว่าเหมาะแก่การเล่นสกีไม่น้อยไปกว่าที่อื่นๆ เลย
นอกจากลานสกีแล้ว ยังมีร้านอาหารรสชาติดีเปิดให้บริการอยู่บริเวณใกล้ๆกับจุดเช่าอุปกรณ์เล่นสกีเลย ชื่อร้าน Palazzo Lounge ที่นอกจากเป็นร้านอาหารเเล้ว ยังเปิดเป็นโรงแรมให้กับนักเล่นสกีเข้าพักด้วย ความโชคดีคือวันที่เราไปคือวันแรกที่ร้านอาหารเปิดบริการ เราเลยนั่งที่ร้านอาหารนี้กันยาวๆ จนค่ำเลย
คืนนี้เราพักอยู่ที่ Vonresort Abant Hotel & Spa เมืองโบลู เป็นที่พัก Local สุดๆ สไตล์โฮมมี่หน่อยๆ หลังหนึ่งมี 2 ชั้น แบ่งเป็น 2 ห้อง มีโถงส่วนกลางนั่งเล่นได้ ส่วนเมนูอาหารก็เป็นแบบท้องถื่นจริงๆค่ะ โดยที่พักแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบโกลจุก ซึ่งเป็นจุดหมายของเราในวันพรุ่งนี้
วันที่ 4 หลังเช็คเอ้าท์ เราก็ออกเดินทางไปยังทะเลสาบโกลจุกต่อเลย ซึ่งเช้านี้เรามาเป็นกลุ่มแรกๆทำให้คนไม่เยอะ อากาศวันนี้อยู่ที่ -1 องศา เมื่อไปถึงค่อนข้างว๊าวมากๆ เพราะที่ทะเลสาบถูกปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆ ดูสวยโรแมนติกมากๆ
จุดเด่นของทะเลสาบโกลจุก คือเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ ท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของป่าไม้ น้ำในทะเลสาบใสสะอาด ว่ากันว่าที่นี่สวยทุกฤดู โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสี แต่เราบอกได้เลยว่าช่วงที่เราไปก็ว่าสวยฟินสุดๆแล้วนะ ตอนเดินเข้าไปรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกเลยค่ะ
เมืองซาฟรานโบลู(Safranbolu)
หลังจากออกจากเมืองโบลู เป้าหมายต่อไปคือเมือง “ซาฟรานโบลู” เมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ของประเทศตุรเคีย โดยเฉพาะชื่อเสียงเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมที่ยังคงอนุรักษ์ความดั่งเดิมเอาไว้ ทำให้ในปี 1994 องค์การยูเนสโกยกให้เมืองซาฟรานโบลูเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม
สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ว่านั้นเ เรียกว่า “Konak” ซึ่งมีอยู่หลายหลัง จุดเด่นคือเป็นบ้านไม้ มีกำแพงและพื้นปูด้วยหินอันเป็นเอกลักษณ์ โดยสถาปัตยกรรมนี้มามาตั้งแต่สมัยออตโตมัน
เมืองคัปปาโดเกีย(Cappadocia)
หลังออกจากเมืองซาฟรานโบลู เราก็นั่งรถยาวๆไปยังเมือง “คัปปาโดเกีย” กันต่อ ถึงที่นั่นก็ค่ำๆ แล้ว โดยคืนนี้เราเช็คอินเข้าโรงแรมถ้ำของแท้ที่ชื่อว่า “Sultan Cave Suites” ราคาช่วงปกติก็ว่าสูงแล้ว ถ้าไปช่วงไฮคือไม่ต้องพูดถึง แต่สักครั้งในชีวิตถ้าได้มาสัมผัสด้วยตัวเองก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะเราคงไม่ได้มากันบ่อยๆ หรอกถูกไหม?
Sultan Cave Suites เป็นอีหนึ่งโรงแรมที่ตั้งอยู่บนเนินเขา Aydinli ในเมืองเกอเรเม่ จุดเด่นคือช่วงเช้าเราจะได้เห็นวิวบอลลูนลอยแบบใกล้ๆ ทักทายถึงหน้าที่พัก ชัดๆเต็มตา ห้องแต่ละห้องจะไม่เหมือนกัน เน้นตกแต่งในโทนเรียบง่าย
วันที่ 5 เราอยู่ที่เมืองคัปปาโดเกียทั้งหมด 2 คืน โดยไม่ย้ายโรงแรม เพื่อที่จะซึมซับบรรยากาศให้เต็มที่ทั้งในตัวที่พักเอง รวมถึงตั้งใจมาขึ้นบอลลูนและถ่ายรูปรถ Classic Car ด้วย ดีที่โชคเข้าข้าง เพราะสภาพอากาศเป็นใจสามารถขึ้นบอลลูนได้ตามใจหวัง (หากสถาพอากาศไม่ดีก็ไม่ได้ขึ้นนะจ๊ะ) ประมาณ ตี 5 จะมีรถตู้มารับถึงโรงแรมเพื่อนไปจุดขึ้นบอลลูน
วิวปังไม่ไหว!!
จุดขึ้นบอลลูนต้องมาตั้งแต่เช้ามืด มาถึงเราจะเห็นรถตู้จำนวนมากที่รับนักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆมารวมกันที่จุดนี้ จากนั้นก็รอเป่าบอลลูนเตรียมล่องเหนือท้องฟ้าคัปปาค่ะ
ช่วงที่บอลลูนลอยหนือท้องฟ้าบอกเลยว่าตื่นเต้นมากๆ ดูวิวเพลินๆ ใช้เวลาประมาณครึ่ง ชม. ได้ แม้กลับมากแล้ว แต่ก็ยังจำวินาทีที่เราเห็นบอลลูนเป็นพันๆลูกลอยอยู่ได้เลย สวยงามเเละอลังการสมกับชื่อเสียงระดับโลก หลังจากลงบอลลูนมาแล้วเราจะได้เกียรติบัตรและเปิดไวน์ฉลองเล็กๆก่อนแยกย้ายกันกลับ
มาถึงจุด Classic Car กันบ้าง บอกเลยว่าสวยงามไม่แพ้กัน คนขับจะนำรถมาจอดยังจุดสวยๆ พร้อมแนะนำท่าโพสด้วยนะ จริงๆแล้วรถคลาสสิคมีอยู่หลายคัน หลายสี ถือเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มในส่วนนี้เหมือนการขึ้นบอลลูนนะคะ
หลังแยกย้ายกันไปถ่ายรูปแล้ว เราก็เดินทางกลับโรงแรมเพื่อทานอาหารเช้ากันก่อน ค่อย City Tour เมืองคัปปาโดเกียค่ะ
อาหารเช้าที่นี่มีให้เลือกหลากหลายนะ
หลังทานอาหารเช้า และจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว จุดเช็คอินแรกคือร้านพรมชื่อดังจ้า ที่นี่ไม่สามารถเข้ามาถ่ายได้เลยนะ ต้องเสียเงินด้วย เริ่มต้นที่ครึ่ง ชม. โดยนอกจากจะเป็นร้านพรมแล้ว เค้ายังมีร้านเครื่องประดับด้วยนะ จริงๆที่นี่ราคาต่อรองได้หมด อยู่ที่สกิลการต่อราคาจริงๆค่ะ
จุดที่สอง “หุบเขาอุซิซาร์ ” อีกหนึ่งจุดไฮไลท์สถาที่ท่องเที่ยวที่ต้องมาเยือน โดยหุบเขาแห่งนี้มีลักษณะเป็นเขาสูงแปลกตา ตามแรวเขาจะมีรูพรุน มีรอยเจาะ รอยขุด ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์เพื่อเอาไว้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งในอดีตก็มีไว้ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการ คอยสอดส่องข้าศึกยามมีภัยอีกด้วย
พักเบรคด้วยอาหารเกาหลีที่คัปปาโดเกียจ้า เป็นอาหารเกาหลีที่ทำโดยคนตุรเคีย 🙂
อิ่มท้องแล้ว เราก็นั่งรถไปดูแสงเย็นกันต่อที่ “จุดชมวิว Red Valley” บอกเลยว่าแสงที่นี่ดีมาก มีร้านค้าเล็กๆไว้ให้จิบชา กาแฟ จากจุดนี้เราจะเห็นยอดเขาเออร์ซิเยสด้วยนะ สวยงามคล้ายฟูเขาไฟฟูจิเลย
ปิดท้ายมือค่ำนี้ที่ร้านสเต็กปลา รสชาติใช้ได้เลย แต่ถ้าใครชอบรสชาติจัดจ้านอย่าลืมพกน้ำจิ้มจากไทยไปด้วยนะ
วันที่ 6 เช้าวันต่อมา เช้านี้ใครตื่นก่อนคนนั้นจะได้วิวปังกว่าใคร เพราะว่าไม่มีใครแย่งบังวิวบอลลูนสวยๆที่ลอยเหนือโรงแรมแบบใกล้ๆ ใกล้ชนิดที่ว่าสามารถแตะตัวบอลลูนยังได้ และนี่คือไฮไลท์ที่เราเลือกพักโรงแรมแห่งนี้ เพราะจะได้วิวแบบนี้แหละค่ะ บอกเลยว่าคุ้มมากๆ
นกที่ตื่นเช้า คือนกที่เห็นวิวสวยๆก่อนใคร ช่วงก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น แสงดีมาก แนะนำเลย
บอลลูนจะลอยเหนือท้องฟ้าประมาณครึ่ง ชม. เท่านั้น และจะเริ่มหายไป ฉะนั้นเราถึงต้องตื่นแต่เช้า ไม่งั้นอาจพลาดได้นะ หลังถ่ายรูปจนหนำใจ ก็ทานอาหารเช้าและเตรียมเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักไปยังที่ต่อไป
สุนัขตุรเคีย ถ้าใครไปจะรู้ว่าเยอะมากๆ ตัวใหญ่แต่ใจดีแทบทุกตัว แมวก็เหมือนกัน ใครรักสัตว์เล่นเพลินแน่นอน
เมืองไคเซรี (Kayseri)
และที่ต่อไปคือ “ภูเขาออร์ซิเยส” ที่เมืองไกเซรี โดยภูเขาลูกนี้เราจะเห็นจากคัปปาไกลๆ วันนี้เราก็มาถึงที่นี่ บอกเลยว่าสวยงามมากๆ ลานสกีกว้างใหญ่ความรู้สึกไม่แพ้ลานสกีที่ญี่ปุ่นเลยค่ะ ช่วงที่เราไปหิมะยังไม่ฟูมาก แต่ก็มีพอให้เล่นได้ โดยความสูงจากจุดแรกจะอยู่ที่ 2,466 เมตร ต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป
หลังจากขึ้นมาด้านบน เราไม่ได้เล่นสกีนะคะ แต่มาซึมซับบรรยากาศ บริเวณด้านบนจะมีคาเฟ่ บริการเครื่องดื่ม และอาหาร ใครหนีหนาวก็เข้ามานั่งให้ร่างกายอุ่นๆได้เลย เราใช้เวลาอยู่บนนี้สักพักจากนั้นก็กลับลงไปข้างล่างเตรียมเดินทางไปสนามบินไคเซอรี เพื่อบินไปยังอิสตันบูลต่อค่ะ
เมืองอิสตันบูล(Istanbul)
มาถึงอิสตันบูล ก็เช้คอินเข้าที่พักก่อนเลยค่ะ โดยเราเลือกพักโรงแรม Hillton Hotel ซึ่งอยู่ติดกับโบสถ์เก่าแก่อย่างเซ็นโซเฟียเลย โรงแรมห้องดี อาหารดีมาก หากอยากไปเที่ยวในตัวเมือง ตลาด ถนนคนเดิน จากที่พักก็เดินเล่นได้เลย อยู่ไม่ไกลกันมาก
ภายในห้อง (ห้องนอนและห้องน้ำจะอยู่ชั้น 2) ส่วนห้องนั่งเล่นจะอยู่ข้างล่างค่ะ
เมนูอาหารมีให้เลือกหลากหลายมาก และมีหลายโซนให้เลือกนั่ง หลังจากเราทานมื้อเช้าเสร็จก็ได้เวลา City Tour อิสตันบูลกันต่อ
วันที่ 7 สถานที่แรกในอิสตันบูลที่เราไปคือ “สุเหร่าสีน้ำเงิน” หรือ Blue Mosque มัสยิดสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ที่ที่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1609 ถึง 1617 ในรัชสมัยของพระเจ้าอาเหม็ดที่ 1 และยังคงเป็นมัสยิดที่ยังคงใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน หากใครเข้าสุเหร่าผู้หญิงอย่างเราๆ ต้องพกผ้าคลุมหัวด้วยนะคะ ไม่งั้นเข้าไม่ได้นะ
จากสุเหร่าสีน้ำเงินไม่ไกลกันนัก เราเดินยัง “ฮิปโปโดรม” สนามแข่งม้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเสาสูงอันเป็นสัญลักษณ์ จริงๆเสาจะมีทั้งหมด 3 เสา แต่เสาที่เราเห็นเรียกว่า “เสาโอเบลิสค์ ธีโอโดซิสที่ 1” เป็นเสาหินต้นแรก ที่ถัดจากน้ำพุเยอรมัน หลังจากเดินเล่นอยู่เเถวนั่นสักพัก เราก็เดินต่อไปยัง “ตลาดแกรนด์บาซาร์ “
สายช้อปปิ้ง เดินตรงนี้ก็ฟินอยู่นะคะ แต่ถ้าใครแพ้กลิ่นบุหรี่ต้องทำใจนิดนึง
แกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar) เป็นตลาดในร่มที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีถนนในร่ม 61 สายและร้านค้ากว่า 4000 ร้านค้า เมื่อเดินเข้ามาที่นี่สายช้อปถูกใจแน่ๆ เพราะมีของขายมากมายและราคาไม่แพง นอกจากร้านค้าแล้วก็ยังมีร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ อยู่เป็นระยะ นอกจากมาเดินเล่นตลาดที่นี่แล้ว เป้าหมายของเราในครั้งนี้คือการมาร้านสเต็กชื่อดังอย่างร้าน “Salt Bae” ที่มีเชฟคนดังอย่าง Nurs-Et กับท่าเด็ดโรยเกลือ
ท่าใช้ได้อยู่ไหมคะ 🙂
หลังทานอิ่มแล้ว จุดหมายต่อไปคือ “ล่องเรือบอสฟอรัส” เป็นการล่องเรือชมทิวทัศน์ 2 ฝั่งแม่น้ำ ผ่านสถานที่สำคัญอย่าง “หอคอยกาลาตา” เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่ได้ดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมที่งดงามสองข้างทาง ไปพร้อมๆกับการชมฝูงนกนางนวลบินวนอยู่เหนือท้องฟ้าด้วยค่ะ
หลังล่องเรือเสร็จแล้ว เราก็นั่งรถไปต่อที่ย่านบาลัด ย่านเก่าแก่แต่สดใสที่สุด โดยย่านบาลัดเป็นย่านชุมชนเก่าแก่ของชาวยิว ซึ่งเสน่ห์ของที่นี่คือบรรยากาศของบ้านเรือนหลากสีสันปลูกสร้างกันอย่างเนื่องแน่น ตั้งอยู่บนเนินสูงชันอันเป็นเอกลักษณ์ ใครชอบถ่ายรูปแนวสตรีทบอกเลยว่าถูกอกถูกใจแน่นอน
หลังเดินเล่นอยู่ย่านบาลัด ก็ตกเย็นพอดี ได้เวลากลับเข้าที่พัก ก็ผ่านสุเหร่าสีน้ำเงินอีกรอบ แต่เป็นตอนเย็นที่เปิดไฟอย่างสวยงาม
ก่อนเข้าที่พัก เราก็มีเวลาเดินเล่นในเมืองนิดหน่อย ซึมซับบรรยากาศก่อนกลับในวันพรุ่งนี้
วันที่ 8 หลังจากทานอาหารของตุรเคียมาหลายวัน ก่อนเดินทางกลับไทย เราเลยหาร้านอาหารไทยทานให้หายคิดถึงสักหน่อย ก็เลยได้ร้านนี้เลย “Para Thai” ร้านอาหารไทยเล็กๆในอิสตันบูล
อาหารจัดจ้าน น่าทานอยู่ค่ะ หลังทานเสร็จก็เดินทางไปสนามบินอิสตันบูล ถึงไทยเช้าอีกวัน
หากใครสนใจอยากเที่ยวตุรเคียส่วนตัวแบบนี้ ติดต่อเรา Unithaitrip ได้เลยนะ 🙂
🔺รวมทัวร์ตุรเคียทั้งหมด -> bit.ly/3OtmSEX
สนใจ / สอบถามทัวร์ ได้ที่..
▪️ Line กด -> https://lin.ee/5nDHUO6
▪️ inbox ก็ได้เช่นกัน -> m.me/unithaitrip
☎️ 02-234-5936 กด 1
☎️ 02-632-6882 กด 1
☎️ 091-154-9999 กด 1
🔺ติดต่อแผนก Unithai Big Group รับจัดกรุ๊ปเหมา กรุ๊ปส่วนตัว กรุ๊ปบริษัท กรุ๊ปดีลเลอร์
▪️ Line กด -> CLICK
หรือแอดไลน์ @unithaibiggroup
☎️02-234-5936
☎️02-632-6882
กดได้ตั้งแต่ 201-210 (ทุกวัน จ.-ศ. เวลา 09.00-18.00 น. )
☎️091-154-9999 (กด 2) (ทุกวัน จ.-อา. เวลา 09.00.-20.00 น.)
**ขอความกรุณาติดต่อเฉพาะการจัดกรุ๊ปส่วนตัว กรุ๊ปเหมา เท่านั้น ไม่สามารถจองทัวร์หน้าร้านได้