“เกาะคิวชู” เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นสายบุญ สายธรรมชาติ สายช้อป สายสุขภาพ เที่ยวบ่อน้ำร้อน นอนแช่น้ำแร่ โอ้แม่เจ้าครบจบในที่เดียว!! การเดินทางของเราครั้งนี้เราออกเดินทางไปกับ UNITHAI และ TTNTOUR ตั้งแต่คืนวันที่ 13-17 ก.ค. เรียกได้ว่าเก็บที่เที่ยวได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเมืองยุฟุอิน เปปปุ ฟุกุโอกะ และคุมาโมโตะ สถานที่ที่เราไปก็ตามลิสต์ด้านล่างนี้เลย
– ศาลเจ้าดาไซฟุ (Dazaifu Shrine)
– ศาลเจ้าเท็นไคอินาริ (Tenkaiinari Shrine)
– เมืองยุฟุอิน (Yufuin) เมืองชนบทเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์สวยงาม ไฮไลท์ของที่นี่คือ หมู่บ้านยูฟุอิน ฟลอรัล (Yufuin Floral Village)
– ทัวร์บ่อขุมนรกในเมืองเบปปุ (Beppu) บ่อเลือด (Chinoike Jigoku) และบ่อทะเลเดือด (Umi Jigoku)
– ทุ่งหญ้า New Kusasenri เมือง Kumamoto
– วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)
– หอคอยฟุกุโอกะ (Fukuoka Tower)
– สวนสาธารณะริมทะเลโมโมชิ (Momochi Park)
– สวนสาธารณะโอโฮริ (Ohori Park)
– ห้างสรรพสินค้า ทั้ง Yume town, Canal City, Duty Free
เอาล่ะ!! พร้อมรึยัง ไปดูรีวิวกันเลย
การเดินทางของเราครั้งนี้เราออกเดินทางไปกับ UNITHAI และ TTNTOUR ตั้งแต่คืนวันที่ 13-17 ก.ค. เรียกได้ว่าเก็บที่เที่ยวได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเมืองยุฟุอิน เมืองเบปปุ ฟุกุโอกะและคุมาโมโตะ
ศาลเจ้าดาไซฟุ (Dazaifu Shrine) –
วัดชินโตเก่าแก่ มีชื่อเสียงที่สุดในฟุกุโอกะ “ศาลเจ้าแห่งความรู้” ที่ผู้คนมากมายจะมาขอพรกันเกี่ยวกับเรื่องการสอบ การเรียน ต่างๆ หน้าศาลเจ้ามีรูปปั้นวัวที่คนจะมาลูบเพื่อขอพรกัน
นี่แหละ รูปปั้นวัว ที่นักท่องเที่ยวชอบมาลูบขอพรเรื่องสุขภาพกัน เจ็บตรงไหนลูบตรงนั้น!
ศาลเจ้าเท็นไคอินาริ (Tenkaiinari Shrine)
หลังศาลเจ้าดาไซฟุเดินต่อออกมาอีกนิดเดียวเราก็ได้พบกับศาลเจ้าเท็นไคอินาริ (Tenkaiinari Shrine) บรรยากาศสงบเงียบ ต่างกับศาลเจ้าดาไซฟุ มีเสาโทริอิ (ซุ้มประตูแดง) ตลอดแนวบันไดทางเดินขึ้นตัดกับสีเขียวของต้นไม้ที่มีอยู่หนาแน่น
ทางเข้าศาลเจ้าดาไซฟุจะเป็นถนนคนเดินคาวาบาตะ มีร้านค้าร้านอาหารกว่าหนึ่งร้อยร้าน แนะนำให้ลอง “โมจิย่างไส้ถั่วแดง” เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่
นอกจากนี้ยังมีร้าน Starbucks ที่ตกแต่งด้วยไม้ขัดสวยงามแปลกตา
เมืองยุฟุอิน (Yufuin)
เมืองชนบทเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์สวยงาม ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีดอกซากุระบานเต็มต้น แต่เรามาช่วงกรกฎาคมก็สวยไปอีกแบบ เมืองที่มีภูเขาโอบล้อม มีลำน้ำเล็กๆ ไหลผ่าน
มีทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์เข้าไปอีก
ส่วนไฮไลท์ของที่นี่คือหมู่บ้านยูฟุอิน ฟลอรัล (Yufuin Floral Village) บ้านอิฐสไตล์ยุโรปที่ประดับประดาด้วยดอกไม้เป็นร้านค้าร้านให้บริการต่างๆ เรียงรายกันในซอยเล็กๆ
ที่นี่เป็นต้นแบบของ OTOP (One Tambon One Product) ในประเทศไทย แต่ของที่นี่เรียกว่า OVOP (One Village One Product) สินค้าที่ขึ้นชื่อมาก คือ ไก่และไข่ ต้องมาลอง เด็ดจริง!!
เมืองเบปปุ (Beppu)
เมืองที่โดดเด่นเรื่องการแช่น้ำแร่ออนเซ็น และบ่อน้ำพุร้อนขุมนรกทั้งแปด ซึ่งในทริปนี้เราได้แวะกัน 2 จากทั้งหมด 8 บ่อ
บ่อแรก คือ บ่อเลือด (Chinoike Jigoku) บ่อน้ำพุร้อนสีแดงประกอบด้วยธาตุเหล็กจำนวนมาก
บ่อที่สอง คือ บ่อทะเลเดือด (Umi Jigoku) บ่อน้ำพุร้อนสีฟ้าใสคล้ายน้ำทะเล
ทั้งสองบ่อน้ำพุร้อนที่เราได้มาแวะนี้ไม่สามารถนำส่วนใดของร่างกายลงแช่ได้ แต่ก็จะมีมุมบ่อแช่เท้าไว้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ต่างหากนะ
ข้างๆ บ่อทะเลเดือดก็จะมีบ่อบัว มีบัวใบใหญ่ยักษ์ที่เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวนิยมเอาเด็กตัวเล็กๆ ลงไปนั่งถ่ายรูปบนใบบัวกัน แต่เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุเด็กตกน้ำขึ้นจึงได้มีการรื้อบัวออก และงดให้มีการนำเด็กลงนั่ง จึงเหลือบัวให้เห็นจำนวนไม่มาก
และมีบ่อเลือดบ่อเล็กๆ อยู่ด้วย
ทุ่งหญ้า New Kusasenri เมือง Kumamoto –
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ล้อมรอบด้วยภูเขาอื่นๆ ที่อยู่ในโซนของภูเขาไฟอะโสะ (Aso Mount) ภูเขาไฟที่ยังคงคุกรุ่นและมีข่าวคราวว่าอาจปะทุได้อยู่ตลอดเวลา มีทะเลสาบและสัตว์ในทุ่ง (ม้า วัว) เป็นสิ่งเติมเต็มความสวยงาม
ที่นี่มีบริการขี่ม้า(มีคนจูงให้) ในราคา 1,300 เยน แต่ก็จะให้นั่งม้าวนอยู่แค่บริเวณด้านหน้าตรงทางขึ้นเนินตรงจุดชมวิว
เราแอบสังเกตเห็นควันลอยออกมาจากพื้นดินบนเนินจุดชมวิวด้วยและเมื่อลองเอามือจับพื้นดินก็รู้สึกว่าพื้นนั้นอุ่นๆ สาเหตุก็เพราะใต้ผืนดินบริเวณนี้ยังคงแฝงไปด้วยพลังงานความร้อนอยู่มากนั่นเอง นอกจากธรรมชาติอันสวยงามแล้วที่นี่ยังมีโซนพิพิธภัณฑ์ ของฝาก และร้านอาหารด้วย ซึ่งอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่พลาดไม่ได้เลย คือ เนื้อวัว และเนื้อม้าที่มีอยู่มากมายในทุ่งหญ้า รสชาติของเนื้อม้าสำหรับคนที่ไม่เคยลองถ้าไม่ติดอะไรอยากให้ลองดูนะ มันจะคล้ายๆ เนื้อวัวแต่เนื้อจะแน่นกว่าและมีกลิ่นที่แตกต่างกันนิดหน่อย
วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) ตั้งอยู่ในเขตซาซากุริ ทางฝั่งตะวันออกของจังหวัดฟุกุโอกะ
ไฮไลท์ของที่นี่คือ พระนอนทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขนาดเทียบเท่าเทพีเสรีภาพที่นิวยอร์กเลย
หอคอยฟุกุโอกะ (Fukuoka Tower) จุดชมวิวเมืองฟุกุโอกะแบบพาโนรามา 360 องศา ตึกริมทะเลที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟูกุโอกะ ตัวตึกเป็นกระจกสีฟ้าตั้งโดดเด่นด้วยความสูงตระหง่าน
สวนสาธารณะริมทะเลโมโมชิ (Momochi Seaside Park) อยู่บริเวณด้านหลังของ Fukuoka Tower เป็นสวนที่มีพื้นที่เปิดกว้างออกสู่ทะเลฮากาตะ จะมีเกาะลอยยื่นออกไปในทะเลเรียกว่า มาริซอน (Marizon) ซึ่งในมาริซอนนี้เองจะมีตกแต่งและออกแบบเน้นไปที่เป็นสไตล์อิตาลีทั้งหมด ทันสมัยสวยงามภายในนั้นจะมีร้านอาหาร ร้านค้าเล็กๆ อีกด้ว
บอกเลยว่าทะเลที่นี่สวยสู้บ้านเราไม่ได้ ทะเลไทยนี่คือสุดยอดของโลกแล้วจ้า
มีต้นสนเรียงรายตลอดทางเดิน ตอนเราไปเป็นตอนกลางวันแดดจัด แต่ได้ร่มเงาไม้ตลอดทางเลย
สวนโอโฮริ (Ohori Park) สวนสาธารณะใจกลางเมืองฟูกุโอกะ ที่ออกแบบให้เป็นทะเลสาบและมีเกาะอยู่ตรงกลาง มีสะพานเดินข้ามไปสู่เกาะ มีสัตว์น้อยใหญ่ให้มองเพลินๆ บรรยากาศร่มรื่นเหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจ
เราจะได้เห็นผู้คนมาออกกำลังกาย มาเดินเล่นนั่งเล่น พาน้องหมามาวิ่ง แถมมีบริการปั่นเรือถีบอีกด้วย
ส่วนจุดที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปกันคือตรงศาลาสีแดงที่โดดเด่นยื่นลงไปในน้ำ
แหล่งช้อปปิ้ง สวรรค์นักช้อปบนเกาะคิวชูมีมากมายทั้ง Ume Town, Duty Free, Canal City สินค้าที่น่าช้อปก็พวกเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าแบรนด์ญี่ปุ่นและแบรนด์นอก, ครีม โฟม เครื่องสำอางค์ ที่ผลิตในญี่ปุ่น, ช็อกโกแลต Royce, ขนมขบเคี้ยวของญี่ปุ่น, เหล้าบ๊วย ฯลฯ
ซุ้มร้านอาหารสไตล์ Yatai ปิดท้ายค่ำคืนก่อนกลับบ้านด้วย ร้านอาหารสไตล์ Yatai ( Yatai คือ ซุ้มขายอาหารข้างทาง ปัจจุบันในจังหวัดฟุกุโอกะเหลืออยู่ประมาณ 150 ร้าน)
จุดที่เราไปคือริมถนน Nakagawa ช่วงล่างของเกาะ Nakasu ซึ่งอนุรักษ์เป็นโซนร้านอาหารสไตล์ยาไตไว้ให้เราได้มาเห็นเรียงกันเป็นสิบร้าน
ได้มามองเห็นวิถีชีวิตและลิ้มรสชาติอาหารแบบดั้งเดิม เมนูยอดนิยมของที่นี่คือ ฮากาตะราเมง ราเมงดั้งเดิมของที่นี่ ที่น้ำซุปเด็ดมากหอมน้ำมันงา เส้นหนึบอร่อยกว่าในห้างอีก นอกจากนั้นก็ยังมีอาหารเมนูอื่นๆ ที่น่ากินอีกมากมาย บวกกับเครื่องดื่มหลากหลายให้เลือก ร้านสไตล์ยาไตจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 6 โมงเย็นยาวไปจนถึงตี 2 เลยนะ อันนี้แนะนำใหไปลองสักครั้งแล้วจะติดใจ